เที่ยวมาเยอะพอมานึกย้อนดู ก็มีหลายสถานที่เหมือนกันที่มีโอกาสได้ไปมากกว่า 1 ครั้ง เลยมาลองสรุปดูว่าเราไปเที่ยวแต่ละที่กี่ครั้งบางแล้ว (ขอสรุปเป็นประเภทเดินป่าหรือท่องเที่ยวตามธรรมชาติ)
1.โกรกอีกดก - เจ็ดคต 4 ครั้ง
โกรกอีกดก ไปครั้งแรกตอนสมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเจอในหนังสือท่องเที่ยวเล่มนึง ภาพในหนังสือสวยมาแถมบอกอยู่สระบุรี ไม่ไกล ก็เลยได้มีโอกาสไป ครั้งแรกที่ไปจ้างชาวบ้านแถวนั้นนำทาง แล้วค้างที่น้ำตก 1 คืน ครั้งที่ 2 ที่ไป ไปกับเพื่อนสมัยเรียนครั้งนี้ไม่ต้องมีคนนำทางเดินขึ้นไปกันเอง ไปเช้า-เย็นกลับไม่ค้างที่น้ำตก ขากลับไปน้อยที่เจ็ดคต ครั้งที่ 3,4 ไปกับพี่ที่ทำงาน ไม่ได้ตั้งใจจะไปเองแต่พี่ๆเขาอยากไปเลยจัดให้
2.ดอยผ้าห่มปก 3 ครั้ง
ผ้าห่มปกที่ไปครั้งแรกไปแบบไม่เคยไปเชียงใหม่เลย ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ไปเชียงใหม่ หาข้อมูลเรื่องรถจากในอินเตอร์เน็ต ติดต่อคนขับรถแล้วโพสหาเพื่อนรวมทริปไปด้วยกัน ได้น้องๆมาร่วมทริป 2 คน ไปครั้งนั้นเจอฝนตก หมอกลงหนามากมองอะไรไม่เห็น เลยไม่มีโอกาสได้ขึ้นยอด ขากลับลงมาต้องไปลงอีกทางเพราะฝนตกเละมาก รถต้องพันโซ่เพิ่มดอกยางเพื่อป้องกันการลื่น ครั้งที่ 2 ไปช่วงปลายปี คนเยอะมาก ครั้งนี้ได้มีโอกาสขึ้นยอดหนาวมาก เจอะน้ำค้างแข็งบนยอดหญ้าด้วย เนื่องจากคนเยอะมากขาลงต้องอาศัยรถคนอื่นลงเพราะเจอรถติดบนดอย ถ้ารอรถขึ้นมารับสงสัยจะไม่ได้ลง ส่วนครั้งที่ 3 ไปช่วงวันตรุษจีน พาพื่ๆเพื่อนที่ทำงานไป
3.ภูกระดึง 4 ครั้ง
ภูกระดึง ครั้งแรกที่ไปเพราะได้ยินข่าวลือ(ไม่รู้แหล่งข่าว โครตมั่วเลย) ว่าจะมีการปิดภูยาว 5 ปี เอาไงดีเลยตัดสินใจรวบรวมเพื่อนๆ ได้มา 3 คน ลุยไปภูกระดึง ตอนนั้นไปสมัยเรียนมีงบจำกัดเลยไปกันอย่างประหยัด นั่งรถทัวร์ป.2 ไป ลูกหาบไม่มีจ้างแบกกันขึ้นไปเอง อาหารข้างบนไปซื้อแบกมาม่าขึ้นไปต้มกัน ขากลับลงมาฝนตกอีก ลื่นมันทุกซัม ครั้งที่ 2,3 อยากกลับไปอีกเพราะประทับใจในความสวยของภูกระดึง แต่ครั้งนี้ไม่มีทางแบกของเองแล้วเพราะมีประสบการณ์มาจากครั้งแรก ส่วนครั้ง4 ไปช่วงก่อนจะปิดภู ได้มีโอกาสเข้าป่าปิดไปดูน้ำตกขุนพอง สวยมาก ได้เจอพี่ที่ชอบเที่ยว เขาแนะนำน้ำตกโกรกอีดกจึงไปมีโอากาสได้น้ำตกโกรกอีดกครั้งแรก
4.กิ่วแม่ปาน 2 ครั้ง
กิ่วแม่ปานไปครั้งแรกเป็นทริปที่ไปครั้งเดี่ยวกับการขึ้นผ้าห่มปกครั้งแรก ตอนจะเข้ากิ่วแม่ปานปกติต้องมีคนนำทางแต่เรามาคนเดียว(น้องที่มาด้วยหนีกลับก่อน) จะจ้างคนนำทางก็ไม่ไหว มองซ้ายมองขวามีคนจะเข้าไปพอดีเลยขออาศัยเข้าไปด้วย ส่วนครั้งที่ 2 ที่มีโอากาสได้ไป ก็ตั้งใจจะไปเก็บสถานทีเที่ยวบนดอยอินทนนท์ ทั้งน้ำตกแม่ยะ, ขุนวาง, กิ่วแม่ปาน ก็ได้มาครบเลย
5.ม่อนปุยหมอก 2 ครั้ง
ม่อนปุยหมอกครั้งแรกที่ไป ไปกับพี่ที่ไปผ้าห่มปกครั้งที่ 2 พอดีแกจัดทริปน่าสนใจเลยลงชื่อไปด้วย หมอกสมชื่อ หมอกมาหนามองอะไรไม่เห็นเลย แล้วเราเป็นกลุ่มแรกที่ไปเปิดดอยด้วย ทริปนี้เลยได้เห็นแต่หมอกขาวๆ สะเป็นส่วนใหญ่ เลยต้องมาซ้อมในอีก 6 ปีต่อมา เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไป ครั้งนี้ไม่ผิดหวังได้เห็นครบทุกอยากที่คาดว่าจะเห็น หวังว่าคงไม่ต้องมีการซ้อมครั้งที่ 3 แล้วนะ
6.น้ำตกผาสวรรค์ 2 ครั้ง
น้ำตกผาสวรรค์อยู่ในจังหวัดกาญจณบุรี สามารถไปได้2ทางคือเดินเข้าไปจากน้ำตกผาตาดหรือขับรถ 4WD เข้าไป ทั้ง 2 ครั้งที่ไปผมใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปทั้ง 2 ครั้ง ทั้งสองครั้งที่ไปเจอน้ำตกแรงมาก ภาพน้ำตกมีแต่ละอองน้ำ อาจจะมีครั้งที่ 3 ถ้าเดินเท้าเขาไปอาจจะต้องทำใจนิดนึงเพราะทางมันเละมากๆ ต้องเดินลุยโคลนสูงเท่าหัวเข่า เพราะรถ 4WDมันทำทางซะเละไปหมด มีคนบอกระหว่างรถ 4WDกับคนเดิน ปรากฎคนถึงก่อนรถ 4WD
7.น้ำตกเต่าดำ 2 ครั้ง
น้ำตกเต่าดำครั้งแรกที่ไป ไปสมัยยังเรียนอยู่ มีพี่ๆที่ไปบอกประทับใจน้ำตกนี้มาก พอมีคนจัดเลยต้องไป ทางไปไม่ลำบากมากเท่าไหร่ แต่ต้องนั่งรถ 4WDเข้าไปแล้วเดินลงน้ำตกอีกหน่อย น้ำตกเต่าดำเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สวยมาก ครั้งแรกที่ไปได้มีโอกาสพักค้างแรมที่ตีนน้ำตกด้านล่าง ส่วนครั้งที่ 2 ที่ไปรู้สึกเค้าจะไม่ให้พักข้างล่างแล้ว ครั้งที่ 2 ที่ไปนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปน้ำตกเต่าดำ แต่ตั้งใจจะไปน้ำตกคลองโป่ง แต่เนื่องจากเป็นวัดหยุดติดต่อกัน 3 วัน จะไปน้ำตกคลองโป่งที่เดียวก็จะเสียเวลาฟรีไป1 วันผมเลยเสนอให้ไปน้ำตกเต่าดำอีกวัน ทริปนี้สนุกมากเจอประสบการณ์แปลกหลายอย่าง ได้มิตรภาพดีๆกลับมาเป็นอีกทริปหนึงที่ประทับใจ
8.น้ำตกเหวอีอ่ำ 2 ครั้ง
น้ำตกเหวอีอ่ำ เป็นทริปแรกๆของผมสำหรับประสบการณ์เดินป่า ครั้งแรกที่ไปบอกเลยว่าทำไมมันเหนื่อยแบบนี้ ทางเดินขึ้นชันมากแดดร้อนอีกตั้งหาก แถมพอเดินไปถึงนี้ตกเจอรถ 4WDของเจ้าหน้าที่ ขึ้นมาปลูกป่า(ทำไมไม่มีใครบอกว่ารถถึง) แต่พอประสบการณ์การเดินป่ามากขึ้นลองกลับมามองย้อนดู น้ำตกเหวอีอ่ำเป็นอะไรที่เดินง่ายมาก ครั้งแรกที่ไปมีประสบการณ์น่ากลัวที่นี้ด้วย พี่ๆในทริปเจอของดีเข้าให้ มีคนมาเขย่าเปล เขย่าแขนตอนกลางคืน โชคดีที่ผมไม่เจอ ส่วนครั้งที่สอง นี้เป็นแค่ทางผ่านไปยังลาดหินดาด ไม่ได้แวะค้างคืน
9.ป่าดงนาทาม 2 ครั้ง
ป่าดงนาทามเป็นที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นแห่งแรกของประเทศไทย สามารถเดินทางได้2วิธีคือทางรถกับเดินขึ้นไป ครั้งแรกผมเดินขึ้นไป ทางไม่ชันเป็นทางราบซะส่วนใหญ่แต่แดดแรงมาก ไม่ค่อยมีร่มไม้เท่าไหร่ ระหว่างทางก็จะมีอะไรแปลกให้ดูตลอดการเดินทาง ที่นี้ดอกไม้สวยมาก ใครที่ชอบดอกไม้ไม่ควรพาด ส่วนครั้งที่สอง ก็ตั้งใจจะเดินขึ้นเหมือนกันแต่สือสารกับเจ้าหน้าที่ผิด เข้าใจวันเวลาไม่ตรงกันเลยไม่มีคนนำทาง สุดท้ายเจ้าหน้าที่เลยหารถ 4WD พาขึ้นไปให้แทน บอกเลยว่าถ้าจะมาป่าดงนาทามถ้ากำลังพอเดินมาดีกว่า นั่งรถเจ็บก้นมาก เพราะตลอดทางมีแต่หินรถกระโดดไปกระโดดมา
10.น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น 4 ครั้ง
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นได้มีโอกาสไปมาหลายครั้งตั้งแต่สมัยยังไม่ทำทางเข้าไป ทางเข้าเป็นทางลูกลัง ทางค่อนข้างลำบาก ทางแพก็เคยไปเอารถลงแพยนต์ข้างเขือนมาอีกฝั่งแล้วขับรถต่อไปอีกไม่ไกล จนถึงปัจจุบันที่ไปได้ง่ายมากเพราะถนนลาดยางจนถึงตัวน้ำตก
11.ม่อนจอง 2 ครั้ง
ม่อนจอง ได้ยินชื่อมานาน รู้ว่าอยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ทำให้คือว่าต้องไปลำบากแน่ เลยไม่มีโอกาสได้ไปสักครั้ง ครั้งแรกที่ไปบอกเลยว่า นั่งรถแบบนี้ไม่ไหวนะ เสียวตกรถมาก ทางเดินไม่เท่าไหร่แต่นั่งรถนี้ขอเลย สมัยที่ไปครั้งแรกยังเดินทางเก่าอยู่ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนครั้งที่ 2 ที่เป็นเขาตัดทางใหม่ทำให้เดินได้ง่ายขึ้นใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ก็ขึ้นแล้ว ไปสบายขึ้นเยอะ แต่ถนนที่รถวิ่งยังเหมือนเดิม เสียวเหมือนเดิม
E1 Diary
วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559
เดินป่าข้ามปีจากม่อนทูเลสู่ม่อนคลุย (31 ธ.ค. 58 ถึง 2 ม.ค. 58)
ปีที่แล้วช่วงปีใหม่ได้มีโอกาสไปทริป ดอยหลวงเชียงดาว กับTrekkingthai แล้วค่อนข้างประทับใจ ปีนี้เลยสานต่อกับทริป ม่อนทูเล-ม่อนคลุย ขอแนะนำสถานที่ให้รู้จักกันก่อนนะครับ
ม่อนทูเล ชื่อนี้ผมได้ยินมานานแล้วแต่ยังไม่เคยได้ไปสัมผัสสักครั้ง ม่อนทูเลอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก แม้จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย แต่ทางอุทยานให้ อบต.ท่าสองยางเป็นคนดูแลจัดการ การเดินทางต้องใช้การเดินเท้าเพื่อพิชิตยอดดอยทูเล กับระยะทาง 7.5 กิโลเมตร เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางชันสลับทางราบเล็กน้อย (หนักไปทางชัน 90%) มีคนจัดอันดับความถึก(Baffelo Degree)ของมันอยู่ที่ ระดับ 3.5 ซึ่งสูงกว่าภูกระดึง, ภูสอยดาว หรือแม้กระทั้ง ดอยหลวงเชียงดาว จุดที่น่าสนใจของม่อนทูเลจะเป็นบริเวณจุดกางเต้นท์ ซึ่งจะเป็นทุ่งหญ้าสีทอง มองเห็นวิวภูเขาสลับฟันปลา เรียงกันอย่างสวยงาม
ม่อนคลุย อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมยเช่นกัน ม่อนคลุยสามารถเดินทางไปได้ 2 วิธี คือเดินจากม่อนทูเล ตามสันเขากับระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร หรือสามารถเดินทางได้โดยรถยนต์(ควรเป็นรถกระบะ) ลักษณะม่อนคลุยจะคล้ายๆม่อนทูเล แต่จะเป็นพื้นที่โล่งกว่า มองเห็นวิวภูเขาและทะเลหมอกได้จากหน้าเต้นท์โดยไม่ต้องลุกออกมาจากเต้นท์ แต่คนค่อนข้างจะพลุพลาน ในเมื่อรถถึงทำไมต้องเดิน ? ไม่รู้จะเข้าข้างตัวเองเกินไปรึป่าว แต่ผมคิดว่าเสน่ห์ของทริปนี้อยู่ที่การเดินจากม่อนทูเลมาม่อนคลุย นอกจากเราจะได้เห็นวิวสองข้างทางที่สวยงาม มันยังได้มิตรภาพดีๆเกิดขึ้นระหว่างทางด้วย และที่สำคัญสุดมันเอาไว้โอ้อวดคนอื่นได้ว่า กูไปมาแล้วววววว
ทริปนี้มีสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมทั้งสิ้น 19 คน มีทั้งมาเป็นคู่ มาแบบแพ็คสาม หรือมาเดี่ยวๆเพื่อนไม่คบแบบผม แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ผมเชื่อว่าคนที่ชอบเที่ยวลักษณะนี้มันจะเป็นคนประเภทเดียวกัน ชอบอะไรคล้ายกัน ซึ่งก็ไม่รู้จะนิยามคนประเภทนี้ว่าอย่างไร ช่วงแรกอาจจะยังไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างมา นั่งรถไม่พูดไม่คุยกัน แต่พอผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน มิตรภาพก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น หลายๆคนที่มาเที่ยวประเภทนี้มักจะได้มิตรภาพดีๆกลับไป หลายๆคนที่ผมรู้จักมักไม่จบกันแค่ทริปนี้ทริปเดียว เชื่อเถอะมีนัดกันไปทริปต่อไปแน่นอน
เราออกเดินทางด้วยรถตู้ 2 คัน ออกเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ รถค่อนข้างเยอะ หลับๆตื่นๆในรถตู้ไปตลอดทาง รถตู้มาจอดที่อบต.ทางสองยางประมาณ 6 โมงเช้า พอมาถึงต่างคนต่างจัดแจงสัมภาระแยกเอาของที่ไม่จำเป็นทิ้งไว้ในรถตู้ แต่งองค์ทรงเครื่องในชุดพร้อมออกรบ ทริปนี้ผมแบกกระเป๋าหนัก 12 กิโล + กระเป๋ากล้องอีก 2 กิโล รวมเบ็ดเสร็จ 14 กิโล (ไม่รู้จะแบบอะไรไปนักหนา นี้จะไปเที่ยวต่างประเทศหรือไปเดินป่ากันแน่ กลับมายังไม่รู้เลยว่า 14 กิโลนี้มันหนักอะไร) หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จ เราต้องย้ายตัวจากรถตู้มาขึ้นรถกระบะ มุ่งหน้าสู่จุดสตาร์ท ที่จุดสตาร์ทมีลูกหาบคอยพวกเราอยู่ จัดแจงแบ่งของกองกลางให้ลูกหาบ ใครอยากสบายเดินตัวเปล่าสามารถใช้บริการลูกหาบได้ เอาของติดตัวไปเฉพาะ น้ำกับอาหารกลางวันพอ อ๋ออย่าลืมพกโทรศัทพ์ติดไปถ่ายเซลฟี่อัพเฟสแชร์โลเคชั่น ให้เพื่อนอิจฉาด้วยนะ ระหว่างทางมีสัญญาณโทรศัพท์เป็นช่วงๆ(True เยอะสุด Dtac ประมูล 4 Gไม่ได้เลยไม่ค่อยมีสัญญาณ)
ช่วงแรกของการเดินทางจะเดินผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน ซึ่งจะมองเห็นจุดหมายปลายทางของเราอยู่ไกลๆ ซึ่งก็ไม่ทำให้ผมท้อเพราะเพิ่งเริ่มเดินยังไม่ทันเหนื่อยเลย 55555 หลังจากผ่านทุ่งนาของชาวบ้านทางเดินเริ่มชันขึ้น 45 อาศา ช่วงแรกยังเดินเกาะกลุ่มกันดี พอผ่านไปสักพักเริ่มแบ่งพักแบ่งพวกแบ่งชนชั้นกัน พวกแรกผมขอเรียกว่าพวกถึกเดินตามควาย เดินกันเอาเป็นเอาตายกลัวตามควายไม่ทัน พวกต่อมาเป็นพวกเรื่อยๆสายเซลฟี่เดินเรื่อยๆไม่รีบ เจอะอะไรสวยก็จะถ่ายเซลฟี่เก็บไว้ สุดท้ายพวกสายอ่อนเดินช้าหน่อยแต่กำลังใจเต็มร้อย ผมจัดอยู่ในสายถึกไล่ตามควายกลัวควายหาย หลังจากผ่านทางชัน45 องศา ก็พอมีทางราบให้เห็นบ้างให้พอมีกำลังใจ เดินไปได้สักพักเราจะเดินตัดลงหุบ ซึ่งภายในหุบจะมีแหล่งน้ำธรรมชาติเอาไว้ให้ดื่มดับกระหาย ใครน้ำหมดสามารถเติมได้จาก น้ำในธรรมชาติสะอาดปราศจากสารเคมี เราพักกินข้าวกลางวันกันตรงนี้ หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารกลางวันเสร็จ ฝันร้ายของจริงก็เริ่มขึ้น ทางต่อจากนี้ไปถือเป็นของจริงที่ผ่านมาถือว่าซ้อมมือ จากนี้ไปจะเป็นทางชันแบบชันมาก จาก 45 องศาค่อยๆปรับเป็น 60 องศา (Slop ค่อยๆเข้าใกล้ 1 ขึ้นเรื่อยๆ) จนถึงช่วงสุดท้ายเรียกว่าชันระดับ 80 องศาก็ว่าได้ มีเชือกเอาไว้ให้ปืนขึ้นเป็นระยะๆ ช่วงนี้ถือว่าโหดพอสมควรเล่นเอาพี่ตะคิวถามหากันเป็นแถวๆ ผมก็เป็นคนนึงที่โดนพี่ตะคิววิ่งเข้าใส่ ยึดขาตึงเมื่อไรพี่เขามาหาแน่นอน เรามาถึงจุดกางเต้นท์ประมาณ 14.00 น ใช้เวลาเดินเท้า 5 ชั่วโมงถือว่าเร็วพอสมควร ไม่รู้จะรีบเดินไปไหนมาถึงแดดก็ร้อนลูกหาบก็ยังมาไม่ถึง แต่โชคดีที่บ้าพลังแบกเต้นท์ขึ้นมาเองเลยกะจะกางเต้นท์นอนเล่นให้คนอื่นอิจฉา แต่ก็ไม่เป็นดังที่คิดไว้แดดแรงมากเต้นท์นอนไม่ได้ร้อนมาก รอไม่นานสมาชิกที่เหลือพร้อมพวกลูกหาบก็มาถึง เราช่วยกันกางเต้นท์ ทำแคมป์กลาง หลังจากนั้นก็ฟรีสไตล์ตัวใครตัวมัน ใครใคร่นอน นอน ใครใคร่กิน กิน ใครมีแรงเหลือเชิญขึ้นจุดชมวิวห่างไปอีก 100 เมตร
ยามเย็นเวลาแสงพระอาทิตย์ตกกระทบผิวหญ้า มองดูเหลืองอร่ามไปทั้งภูเขา เหมือนอยู่ในภูเขาทองคำ ทริปนี้ไม่ได้มีโอกาศขึ้นไปยอดดอย เพราะได้ฟังมาจากคนที่มาก่อนหน้าว่าข้างบนยอดไม่ค่อยสวย ต้องใช้เวลาเดินขึ้น+เดินลง เป็นชั่วโมง พอได้ฟังดังนั้น ก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก เหนื่อยแค่นี้พอแล้วเก็บแรงไปเหนื่อนต่อที่ม่อนคลุยดีกว่า หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าความเย็นก็เข้ามาเยือน อากาศบนม่อนทูเลเย็นสบายไม่หนาวจนเกินไป แหล่งน้ำด้านบนยังพอมีแม้จะไม่มากนัก แต่ก็พอมีให้ใช้กันอย่างทั่วถึง วันที่เราไปกางเต้นท์มีประมาณ4-5 กลุ่มขึ้นมากางเต้นท์ ก็แยกย้ายกันไปกางเต้นท์ตามจุดต่าง ซึ่งก็ไม่แออัดมากนัก หลังจากชมพระอาทิตย์ตก ก็มาถึงมื้อเย็น มื้อนี้ถือเป็นการฉลองวันสิ้นปีต้อนรับเข้าสู้ปีใหม่ อาหารถูกกำจัดหมดไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง แต่อร่อยทุกอย่าง ตบท้ายมื้อเย็นด้วยของหวานสุดหรูหรา แพนเค้กลาดน้ำผึ้งใส่กีวี่ของหวานสุดฟินบนยอดดอย พอฟ้าเริ่มมืดแสงดาวบนท้องฟ้าเริ่มปรากฎ ดาวบนท้องฟ้าละลานตา กลุ่มดาวน้อยใหญ่เต็มทองฟ้าไปหมด เสียด้ายไม่มีความรู้เรื่องกลุ่มดาว ไม่งั้นคงได้นอนนับดาวแทนการเคาท์ดาวน์ปีใหม่แน่นอน ผมมีโอากาสได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้า เลยจัดแจงหยิบกล้องตัวโปรด เดินขึ้นจุดชมวิวเล็งหาช้างบนท้องฟ้า แต่เป็นที่น่าเสียด้ายช่วงนี้ช้างขี้อายแอบหนีลงไปกินน้ำ ทำให้ถ่ายมาได้แค่หางช้าง บวกเฆมเจ้ากรรมบังซะเกือบไม่เห็นหางช้าง แต่ก็พอได้ภาพมาบ้าง หลังจากสนุกสนานกับการล่าช้างบนท้องฟ้า ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินตามควาย แสงไฟในแคมป์ถูกดับลงอยากรวดเร็วเหลือไว้เพียงสมาชิกไม่กี่คนที่รอเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ แต่สำหรับผมขอราตรีสวัสดิ์ ฝากให้สมาชิกร่วมทริปช่วยปลุกตอนเช้าขึ้นไปถ่ายดาว
ตีห้าครึ่ง เสียงเรียกดังออกมาจากนอกเต้นท์ "พี่ตื่นรึยังครับ ลุกไปถ่ายดาวกันไหม" ผมลุกขึ้นอย่างสะลึมสะลือ หยิบกล้องตัวที่ถ่ายช้างเมื่อคืน ลุกฝ่าความหนาวออกจากเต้นท์ แสงพระจันทร์สว่างจนแทบไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายส่องนำทางขึ้นไปยังจุดชมวิว แม้จะเป็นเวลาตี5 แต่ท้องฟ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยแสงดาว ขณะกำลังเก็บภาพแสงดาวตอนเช้า มองไปยังเต้นท์ของคณะอื่น เริ่มมีคนลุกออกมาจากเต้นท์ หยิบไฟฉายเดินมุ่งตรงไปยังยอดดอย มองเห็นแสงไฟทอดยาวเป็นเส้นไปยังยอดทูเล ผมถ่ายภาพเก็บบรรยายกาศไปเรื่อยๆ จากสมาชิกไม่กี่คน ก็เริ่มมีสมาชิกคนอื่นทยอยขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นกันมากขึ้น ไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มขยับขึ้นเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนแบบไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาก่อน มีคนบอก "พระอาทิตย์ขึ้นที่ไหนก็เหมือนกันนั้นแหละยังไงมันก็พระอาทิตย์ดวงเดิม" มันก็อาจจะจริงแต่มันจะไม่เหมือนกับพระอาทิตย์ที่อื่นตรงที่ มันมีเรื่องราวและความทรงจำที่แตกต่างกัน พระอาทิตย์ตกที่กรุงเทพอาจเป็นปกติที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่พอมายังสถานที่ใหม่บรรยากาศใหม่ บวกกับความเหนื่อยยากที่กว่าจะมาถึง ผมก็สามารถบอกได้ว่าพระอาทิตย์ตกแต่ละทีไม่เหมือนกัน ความทรงจำและเรื่องราวมันต่างกันแม้จะเป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกันก็ตาม
หลังจากที่ชมความงามของพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกกันอย่างจุใจแล้ว เราก็ลงมากำจัดอาหารเช้าให้ราบเรียบ จัดแจงเก็บเต้นท์เก็บของยัดใส่กระเป๋า มองนาฬิกาดูฤกษ์งามยามดี ออกเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไปในวันนี้ ม่อนคลุย วันนี้เราต้องเดินไกลกว่าเมื่อวานเล็กน้อย แต่ทางเดินจากง่ายกว่าเดิม เดินตามสันเขาที่เรามองเห็นเมื่อวาน จากม่อนทูเลไปม่อนคลุยบอกได้เลยว่ามีแต่ขึ้นสุดแล้วก็ลงสุด เริ่มจากช่วงแรกเป็นทางขึ้นเขาระยะทางไม่ไกลมากนัก จากนั้นก็ตัดลงเขาอย่างเดียวเลย จนมาถึงจุดแวะพักเติมน้ำ เป็นลำธารน้ำใสๆไหลเย็นให้พอล้างหน้าให้ชื้นใจ ตอนขาลงก็คิดในใจทำไมมันลงอย่างเดียวเลย ไม่อยากคิดเลยว่าขาขึ้นจะเป็นอย่างไร จากจุดแวะพัก ทางข้างหน้าไปทางชันระดับ 80 องศาเหมือนช่วงสุดท้ายของเมื่อวาน แต่ระยะทางไม่ไกลมาก แต่เหนื่อยเอากาลเหมือนกัน แต่ขอบอกพอขึ้นมาถึงยอดแล้วถึงกับหายเหนื่อยกันเลยที่เดียว มองเห็นวิวภูเขาทอดยาวเรียงตัวสลับกัน ท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเป็นใจ เฆมแตกกระจายเป็นเส้นเล็กๆเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ที่เขาเรียก"ฟ้าระเบิด" ได้เห็นจริงก็วันนี้แหละครับ นอกจากฟ้าระเบิด ไฮไลท์อีกอย่างจะเป็นสันเขาเส้นทางที่เราเดินไปยังม่อนคลุย มองเห็นเป็นภูเขาหัวโล้นมีต้นไม้ขึ้นประปราย ระหว่างสองข้างทางมองเห็นภูเขาเรียงตัวสลับกันยาวสุดสายตา ระหว่างทางเราจะมองเห็นสถูปเก่า ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่าม่อนปุยหลวง เป็นจุดกางเตนท์แวะพักและสามารถกางเต้นท์ได้
เราเดินตามสันเขาตัดลงมาเรื่อยจนมาบรรจบกับถนนลูกรังเส้นที่มาจากม่อนคลุย เราแวะพักกินอาหารกลางวันกันที่นี้ ในใจก็หวังลึกๆอยากให้มีรถกระบะผ่านมาสักคัน จะได้โบกขึ้นไปม่อนคลุย ระหว่างนั่งพักรอสมาชิกที่เหลือ มีเสียงรถดังมาแต่ไกล โชคดีแล้วเราไม่ต้องเดินให้เหนื่อย สุดท้ายเป็นรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้าน "เซ็งจุงเบย" หลังจากสมาชิกที่เหลือมากันครบเราออกเดินทางกันต่อ ตามถนนลูกรังมุ่งหน้าสู่ม่อนคลุย เดินมาได้สักพักถนนลูกรังถูกเทพื้นเป็นถนนคอนกรีต แสดงถึงอารยธรรมอันศิวิลัย แต่ไปได้ไม่ไกลก็กลับเป็นถนนลูกรังอีกครั้ง(คาดว่างบคงหมด) เดินมาเรื่อยๆเราเริ่มได้ยินเสียรถยนต์เสียงผู้คนส่งเสียงพูดคุยกัน มองเห็นหลังคาศาลาอยู่ไม่ไกล ในที่สุดเราก็มาถึงม่อนคลุย ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมง เวลาเดินผ่านคนที่มาตั้งแคมป์เราจะถูกมองด้วยสายตาแบบคนสงสัยว่าพวกนี้มันไปทำอะไรกันมา แบกอะไรกันมานักหนา ทำไมไม่เอาของไปวางที่รถแล้วค่อยเดินเที่ยว คืออยากจะบอกมาก "กูเดินมาจากม่อนทูเล" แต่ก็ไม่กล้าบอกเดียวจะโดยหาว่าบ้า จะเดินมาทำไมให้ลำบาก (มันเป็นความภูมิใจเล็กๆในใจที่ทำสำเร็จ) จบสิ้นกันที่กับภาระกิจการเดินป่าข้ามปี ตอนไปนี้รถถึงตลอดไม่ต้องเดินแล้ววว
หลังจากที่เดินกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อย โค๊กเย็นๆใส่น้ำแข็ง เป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้ว โค๊กถูกกำจัดอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากอาหารเย็นเมื่อวาน ไม่รู้ตายอดตายอยากมาจากไหน พอมาถึงกันครบก็จัดแจงกางเต้นท์ ทำแคมป์กลาง ที่ม่อนคลุยคนค่อนข้างเยอะเพราะรถสามารถมาถึงได้ เหมือนไปกางเต้นท์บนเขาใหญ่ช่วงวันหยุดยาว พื้นที่กางเต้นท์ค่อนข้างเยอะมีห้องน้ำพร้อม หลังจากกางเต้นท์เสร็จกิจกรรมต่อมาที่ทุกคนอยากทำ ไม่ใช่การนอนแต่เป็นการอาบน้ำ หลังจากที่อาบเหงื่อกันมาตั้งแต่เมื่อวาน การอาบน้ำตอนนี้เป็นอะไรที่สดชื่นมาก แม้ประตูห้องน้ำจะล๊อกไม่ได้หรือบางห้องไม่มีประตู แต่ก็ไม่ใช้อุปสรรค์ในการอาบน้ำ วันนี้ผมขอนอนแคมป์กลางเพราะขี้เกียจเก็บเต้นท์ในตอนเช้า มีพื้นที่ให้นอนกลิ้งได้อย่างกว้างขวาง หลังจากอาบน้ำเสร็จ สมาชิกรวมกลุ่มกันเม้าท์มอยเรื่องทริปต่างๆที่ต่างคนต่างเคยไปมา พร้อมจิบเบียร์เย็นๆดับกระหาย การได้เบียร์เย็นช่วยทำให้ลื่นคอมากขึ้น นั่งคุยเล่าเรื่องราวประสบการณ์การท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนานรอเวลาชมพระอาทิตย์ตก เบียร์สองถาดดูเหมือนจะน้อยเกินไปเพราะมันหมดไปอย่างรวดเร็ว
พระอาทิตย์ตกที่ม่อนคลุยสวยไม่แพ้ม่อนทูเล หากใครไม่อยากเดินป่าระยะไกลแนะนำม่อนคลุยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แจ่มแจ๋ว คืนนี้เมฆเยอะไปหน่อยทำให้บดบังดาวบนท้องฟ้าแต่ยังมีพอให้นอนนับดาวกันได้ คืนนอนนอนแคมป์กลางผมหลับไปคนแรกเลย เช้ามาน้องที่ไปด้วยบอก "พี่หลับเร็วมากเลย ผมหันมาได้ยินเสียงกรนพี่แล้ว" นี้เรานอนกรนจริงๆเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย สงสัยจะเหนื่อยจัด ปกตินอนไม่กรนนะ(เข้าข้างตัวเอง) อย่างที่บอกเฆมค่อนเข้าเยอะเช้านี้เลยไม่ได้ลุกขึ้นมาถ่ายดาว ตื่นมาอีกที่ก็ 6 โมงเช้าเลย เช้านี้มีการแสดงโชว์บนท้องฟ้าด้วย มองเห็นเป็นแสงไฟพุงลงมาจากฟ้า นึกว่าโทนี่ สตาร์คสวมชุด Iron man ไปปาร์ตี้ที่ฝรั่งเศษ แอบบินผ่านม่อนคลุย มาทราบข่างที่หลังว่าเป็นชิ้นส่วนขยะอวกาศที่ตกมาจากฟ้า มองเห็นได้ทั่วไปทั้งประเทศ หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเช้าก็จัดแจงเก็บเตนท์ที่พัก รวบรวมขยะใส่ถุงนำไปทิ้งข้างล่าง ไม่ต้องเดินแล้วนั่งรถกระบะลงไปจนถึงอบตเลย พอมาถึงอบตก็จัดแจงอาบน้ำแต่งหล่อแต่งสวยเตรียมตัวกลับสู่เมืองกรุง เข้าสู้ชีวิตการเริ่มต้นทำงานในปี 59 พร้อมกับความทรงจำและมิตรภาพดีๆในทริปนี้ (จบแล้วครับ ยาวไปหน่อย รึป่าว)
ม่อนทูเล ชื่อนี้ผมได้ยินมานานแล้วแต่ยังไม่เคยได้ไปสัมผัสสักครั้ง ม่อนทูเลอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก แม้จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย แต่ทางอุทยานให้ อบต.ท่าสองยางเป็นคนดูแลจัดการ การเดินทางต้องใช้การเดินเท้าเพื่อพิชิตยอดดอยทูเล กับระยะทาง 7.5 กิโลเมตร เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางชันสลับทางราบเล็กน้อย (หนักไปทางชัน 90%) มีคนจัดอันดับความถึก(Baffelo Degree)ของมันอยู่ที่ ระดับ 3.5 ซึ่งสูงกว่าภูกระดึง, ภูสอยดาว หรือแม้กระทั้ง ดอยหลวงเชียงดาว จุดที่น่าสนใจของม่อนทูเลจะเป็นบริเวณจุดกางเต้นท์ ซึ่งจะเป็นทุ่งหญ้าสีทอง มองเห็นวิวภูเขาสลับฟันปลา เรียงกันอย่างสวยงาม
ม่อนคลุย อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมยเช่นกัน ม่อนคลุยสามารถเดินทางไปได้ 2 วิธี คือเดินจากม่อนทูเล ตามสันเขากับระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร หรือสามารถเดินทางได้โดยรถยนต์(ควรเป็นรถกระบะ) ลักษณะม่อนคลุยจะคล้ายๆม่อนทูเล แต่จะเป็นพื้นที่โล่งกว่า มองเห็นวิวภูเขาและทะเลหมอกได้จากหน้าเต้นท์โดยไม่ต้องลุกออกมาจากเต้นท์ แต่คนค่อนข้างจะพลุพลาน ในเมื่อรถถึงทำไมต้องเดิน ? ไม่รู้จะเข้าข้างตัวเองเกินไปรึป่าว แต่ผมคิดว่าเสน่ห์ของทริปนี้อยู่ที่การเดินจากม่อนทูเลมาม่อนคลุย นอกจากเราจะได้เห็นวิวสองข้างทางที่สวยงาม มันยังได้มิตรภาพดีๆเกิดขึ้นระหว่างทางด้วย และที่สำคัญสุดมันเอาไว้โอ้อวดคนอื่นได้ว่า กูไปมาแล้วววววว
ทริปนี้มีสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมทั้งสิ้น 19 คน มีทั้งมาเป็นคู่ มาแบบแพ็คสาม หรือมาเดี่ยวๆเพื่อนไม่คบแบบผม แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ผมเชื่อว่าคนที่ชอบเที่ยวลักษณะนี้มันจะเป็นคนประเภทเดียวกัน ชอบอะไรคล้ายกัน ซึ่งก็ไม่รู้จะนิยามคนประเภทนี้ว่าอย่างไร ช่วงแรกอาจจะยังไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างมา นั่งรถไม่พูดไม่คุยกัน แต่พอผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน มิตรภาพก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น หลายๆคนที่มาเที่ยวประเภทนี้มักจะได้มิตรภาพดีๆกลับไป หลายๆคนที่ผมรู้จักมักไม่จบกันแค่ทริปนี้ทริปเดียว เชื่อเถอะมีนัดกันไปทริปต่อไปแน่นอน
เราออกเดินทางด้วยรถตู้ 2 คัน ออกเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ รถค่อนข้างเยอะ หลับๆตื่นๆในรถตู้ไปตลอดทาง รถตู้มาจอดที่อบต.ทางสองยางประมาณ 6 โมงเช้า พอมาถึงต่างคนต่างจัดแจงสัมภาระแยกเอาของที่ไม่จำเป็นทิ้งไว้ในรถตู้ แต่งองค์ทรงเครื่องในชุดพร้อมออกรบ ทริปนี้ผมแบกกระเป๋าหนัก 12 กิโล + กระเป๋ากล้องอีก 2 กิโล รวมเบ็ดเสร็จ 14 กิโล (ไม่รู้จะแบบอะไรไปนักหนา นี้จะไปเที่ยวต่างประเทศหรือไปเดินป่ากันแน่ กลับมายังไม่รู้เลยว่า 14 กิโลนี้มันหนักอะไร) หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จ เราต้องย้ายตัวจากรถตู้มาขึ้นรถกระบะ มุ่งหน้าสู่จุดสตาร์ท ที่จุดสตาร์ทมีลูกหาบคอยพวกเราอยู่ จัดแจงแบ่งของกองกลางให้ลูกหาบ ใครอยากสบายเดินตัวเปล่าสามารถใช้บริการลูกหาบได้ เอาของติดตัวไปเฉพาะ น้ำกับอาหารกลางวันพอ อ๋ออย่าลืมพกโทรศัทพ์ติดไปถ่ายเซลฟี่อัพเฟสแชร์โลเคชั่น ให้เพื่อนอิจฉาด้วยนะ ระหว่างทางมีสัญญาณโทรศัพท์เป็นช่วงๆ(True เยอะสุด Dtac ประมูล 4 Gไม่ได้เลยไม่ค่อยมีสัญญาณ)
จุดออกสตารท์
ช่วงแรกเดินผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน
มองเห็นยอดทูเลอยู่ไกล
ยามเย็นเวลาแสงพระอาทิตย์ตกกระทบผิวหญ้า มองดูเหลืองอร่ามไปทั้งภูเขา เหมือนอยู่ในภูเขาทองคำ ทริปนี้ไม่ได้มีโอกาศขึ้นไปยอดดอย เพราะได้ฟังมาจากคนที่มาก่อนหน้าว่าข้างบนยอดไม่ค่อยสวย ต้องใช้เวลาเดินขึ้น+เดินลง เป็นชั่วโมง พอได้ฟังดังนั้น ก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก เหนื่อยแค่นี้พอแล้วเก็บแรงไปเหนื่อนต่อที่ม่อนคลุยดีกว่า หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าความเย็นก็เข้ามาเยือน อากาศบนม่อนทูเลเย็นสบายไม่หนาวจนเกินไป แหล่งน้ำด้านบนยังพอมีแม้จะไม่มากนัก แต่ก็พอมีให้ใช้กันอย่างทั่วถึง วันที่เราไปกางเต้นท์มีประมาณ4-5 กลุ่มขึ้นมากางเต้นท์ ก็แยกย้ายกันไปกางเต้นท์ตามจุดต่าง ซึ่งก็ไม่แออัดมากนัก หลังจากชมพระอาทิตย์ตก ก็มาถึงมื้อเย็น มื้อนี้ถือเป็นการฉลองวันสิ้นปีต้อนรับเข้าสู้ปีใหม่ อาหารถูกกำจัดหมดไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง แต่อร่อยทุกอย่าง ตบท้ายมื้อเย็นด้วยของหวานสุดหรูหรา แพนเค้กลาดน้ำผึ้งใส่กีวี่ของหวานสุดฟินบนยอดดอย พอฟ้าเริ่มมืดแสงดาวบนท้องฟ้าเริ่มปรากฎ ดาวบนท้องฟ้าละลานตา กลุ่มดาวน้อยใหญ่เต็มทองฟ้าไปหมด เสียด้ายไม่มีความรู้เรื่องกลุ่มดาว ไม่งั้นคงได้นอนนับดาวแทนการเคาท์ดาวน์ปีใหม่แน่นอน ผมมีโอากาสได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้า เลยจัดแจงหยิบกล้องตัวโปรด เดินขึ้นจุดชมวิวเล็งหาช้างบนท้องฟ้า แต่เป็นที่น่าเสียด้ายช่วงนี้ช้างขี้อายแอบหนีลงไปกินน้ำ ทำให้ถ่ายมาได้แค่หางช้าง บวกเฆมเจ้ากรรมบังซะเกือบไม่เห็นหางช้าง แต่ก็พอได้ภาพมาบ้าง หลังจากสนุกสนานกับการล่าช้างบนท้องฟ้า ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินตามควาย แสงไฟในแคมป์ถูกดับลงอยากรวดเร็วเหลือไว้เพียงสมาชิกไม่กี่คนที่รอเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ แต่สำหรับผมขอราตรีสวัสดิ์ ฝากให้สมาชิกร่วมทริปช่วยปลุกตอนเช้าขึ้นไปถ่ายดาว
มาเป็นคู่
มาแพ็คสาม
มาคนเดียวเพื่อนไม่คบ
ตีห้าครึ่ง เสียงเรียกดังออกมาจากนอกเต้นท์ "พี่ตื่นรึยังครับ ลุกไปถ่ายดาวกันไหม" ผมลุกขึ้นอย่างสะลึมสะลือ หยิบกล้องตัวที่ถ่ายช้างเมื่อคืน ลุกฝ่าความหนาวออกจากเต้นท์ แสงพระจันทร์สว่างจนแทบไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายส่องนำทางขึ้นไปยังจุดชมวิว แม้จะเป็นเวลาตี5 แต่ท้องฟ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยแสงดาว ขณะกำลังเก็บภาพแสงดาวตอนเช้า มองไปยังเต้นท์ของคณะอื่น เริ่มมีคนลุกออกมาจากเต้นท์ หยิบไฟฉายเดินมุ่งตรงไปยังยอดดอย มองเห็นแสงไฟทอดยาวเป็นเส้นไปยังยอดทูเล ผมถ่ายภาพเก็บบรรยายกาศไปเรื่อยๆ จากสมาชิกไม่กี่คน ก็เริ่มมีสมาชิกคนอื่นทยอยขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นกันมากขึ้น ไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มขยับขึ้นเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนแบบไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาก่อน มีคนบอก "พระอาทิตย์ขึ้นที่ไหนก็เหมือนกันนั้นแหละยังไงมันก็พระอาทิตย์ดวงเดิม" มันก็อาจจะจริงแต่มันจะไม่เหมือนกับพระอาทิตย์ที่อื่นตรงที่ มันมีเรื่องราวและความทรงจำที่แตกต่างกัน พระอาทิตย์ตกที่กรุงเทพอาจเป็นปกติที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่พอมายังสถานที่ใหม่บรรยากาศใหม่ บวกกับความเหนื่อยยากที่กว่าจะมาถึง ผมก็สามารถบอกได้ว่าพระอาทิตย์ตกแต่ละทีไม่เหมือนกัน ความทรงจำและเรื่องราวมันต่างกันแม้จะเป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกันก็ตาม
หางช้าง
ตีห้าบางกลุ่มเดินขึ้นยอดดอย
เตรียมลุย เป้าหมาย ม่อนคลุย
เราเดินตามสันเขาตัดลงมาเรื่อยจนมาบรรจบกับถนนลูกรังเส้นที่มาจากม่อนคลุย เราแวะพักกินอาหารกลางวันกันที่นี้ ในใจก็หวังลึกๆอยากให้มีรถกระบะผ่านมาสักคัน จะได้โบกขึ้นไปม่อนคลุย ระหว่างนั่งพักรอสมาชิกที่เหลือ มีเสียงรถดังมาแต่ไกล โชคดีแล้วเราไม่ต้องเดินให้เหนื่อย สุดท้ายเป็นรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้าน "เซ็งจุงเบย" หลังจากสมาชิกที่เหลือมากันครบเราออกเดินทางกันต่อ ตามถนนลูกรังมุ่งหน้าสู่ม่อนคลุย เดินมาได้สักพักถนนลูกรังถูกเทพื้นเป็นถนนคอนกรีต แสดงถึงอารยธรรมอันศิวิลัย แต่ไปได้ไม่ไกลก็กลับเป็นถนนลูกรังอีกครั้ง(คาดว่างบคงหมด) เดินมาเรื่อยๆเราเริ่มได้ยินเสียรถยนต์เสียงผู้คนส่งเสียงพูดคุยกัน มองเห็นหลังคาศาลาอยู่ไม่ไกล ในที่สุดเราก็มาถึงม่อนคลุย ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมง เวลาเดินผ่านคนที่มาตั้งแคมป์เราจะถูกมองด้วยสายตาแบบคนสงสัยว่าพวกนี้มันไปทำอะไรกันมา แบกอะไรกันมานักหนา ทำไมไม่เอาของไปวางที่รถแล้วค่อยเดินเที่ยว คืออยากจะบอกมาก "กูเดินมาจากม่อนทูเล" แต่ก็ไม่กล้าบอกเดียวจะโดยหาว่าบ้า จะเดินมาทำไมให้ลำบาก (มันเป็นความภูมิใจเล็กๆในใจที่ทำสำเร็จ) จบสิ้นกันที่กับภาระกิจการเดินป่าข้ามปี ตอนไปนี้รถถึงตลอดไม่ต้องเดินแล้ววว
มองเห็นม่อนคลุยอยู่ไกลๆ
หลังจากที่เดินกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อย โค๊กเย็นๆใส่น้ำแข็ง เป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้ว โค๊กถูกกำจัดอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากอาหารเย็นเมื่อวาน ไม่รู้ตายอดตายอยากมาจากไหน พอมาถึงกันครบก็จัดแจงกางเต้นท์ ทำแคมป์กลาง ที่ม่อนคลุยคนค่อนข้างเยอะเพราะรถสามารถมาถึงได้ เหมือนไปกางเต้นท์บนเขาใหญ่ช่วงวันหยุดยาว พื้นที่กางเต้นท์ค่อนข้างเยอะมีห้องน้ำพร้อม หลังจากกางเต้นท์เสร็จกิจกรรมต่อมาที่ทุกคนอยากทำ ไม่ใช่การนอนแต่เป็นการอาบน้ำ หลังจากที่อาบเหงื่อกันมาตั้งแต่เมื่อวาน การอาบน้ำตอนนี้เป็นอะไรที่สดชื่นมาก แม้ประตูห้องน้ำจะล๊อกไม่ได้หรือบางห้องไม่มีประตู แต่ก็ไม่ใช้อุปสรรค์ในการอาบน้ำ วันนี้ผมขอนอนแคมป์กลางเพราะขี้เกียจเก็บเต้นท์ในตอนเช้า มีพื้นที่ให้นอนกลิ้งได้อย่างกว้างขวาง หลังจากอาบน้ำเสร็จ สมาชิกรวมกลุ่มกันเม้าท์มอยเรื่องทริปต่างๆที่ต่างคนต่างเคยไปมา พร้อมจิบเบียร์เย็นๆดับกระหาย การได้เบียร์เย็นช่วยทำให้ลื่นคอมากขึ้น นั่งคุยเล่าเรื่องราวประสบการณ์การท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนานรอเวลาชมพระอาทิตย์ตก เบียร์สองถาดดูเหมือนจะน้อยเกินไปเพราะมันหมดไปอย่างรวดเร็ว
พระอาทิตย์ตกที่ม่อนคลุยสวยไม่แพ้ม่อนทูเล หากใครไม่อยากเดินป่าระยะไกลแนะนำม่อนคลุยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แจ่มแจ๋ว คืนนี้เมฆเยอะไปหน่อยทำให้บดบังดาวบนท้องฟ้าแต่ยังมีพอให้นอนนับดาวกันได้ คืนนอนนอนแคมป์กลางผมหลับไปคนแรกเลย เช้ามาน้องที่ไปด้วยบอก "พี่หลับเร็วมากเลย ผมหันมาได้ยินเสียงกรนพี่แล้ว" นี้เรานอนกรนจริงๆเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย สงสัยจะเหนื่อยจัด ปกตินอนไม่กรนนะ(เข้าข้างตัวเอง) อย่างที่บอกเฆมค่อนเข้าเยอะเช้านี้เลยไม่ได้ลุกขึ้นมาถ่ายดาว ตื่นมาอีกที่ก็ 6 โมงเช้าเลย เช้านี้มีการแสดงโชว์บนท้องฟ้าด้วย มองเห็นเป็นแสงไฟพุงลงมาจากฟ้า นึกว่าโทนี่ สตาร์คสวมชุด Iron man ไปปาร์ตี้ที่ฝรั่งเศษ แอบบินผ่านม่อนคลุย มาทราบข่างที่หลังว่าเป็นชิ้นส่วนขยะอวกาศที่ตกมาจากฟ้า มองเห็นได้ทั่วไปทั้งประเทศ หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเช้าก็จัดแจงเก็บเตนท์ที่พัก รวบรวมขยะใส่ถุงนำไปทิ้งข้างล่าง ไม่ต้องเดินแล้วนั่งรถกระบะลงไปจนถึงอบตเลย พอมาถึงอบตก็จัดแจงอาบน้ำแต่งหล่อแต่งสวยเตรียมตัวกลับสู่เมืองกรุง เข้าสู้ชีวิตการเริ่มต้นทำงานในปี 59 พร้อมกับความทรงจำและมิตรภาพดีๆในทริปนี้ (จบแล้วครับ ยาวไปหน่อย รึป่าว)
ภาพที่เหลือชมได้ที่
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
CR ทะเลน้อยพัทลุง 3 วัน 2 คืน ไม่มีรถก็เที่ยวได้
รีวิวนี้เป็นการให้ข้อมูล+บันทึกการเดินทางของผมเอง ทริปนี้เป็นทริปแบบไม่ได้ตั้งใจมันเกิดจาก ตอนแรกผมตั้งใจจะไปหลังสวนชุมพรกับ Trekkingthai ไปล่องแพนอนเกาะพิทักษ์ พักผ่อนสบายๆ พอติดต่อจองทัวร์ปรากฎว่าเกิดเหตุเล็กน้อย คือที่วันเดินทางโดยเลื่อนออกไปเนื่องจากมีปัญหาเรื่องที่พักเล็กน้อย ซึ่งผมไม่สะดวกจะเดินทางในวันดังกล่าวทำให้ทริปนี้ต้องล่มไป จึงมาเป็นต้นกำเนิดของทริปพัทลุง-ทะเลน้อย
การเดินทาง ก่อนไปได้ทำการหาข้อมูลการเดินทางเนื่องจากผมไม่ได้ไปรถส่วนตัว พบว่าการเดินทางไปทะเลน้อยสามารถเดินทางได้หลายวิธี
1.เครื่องบิน(ไม่มีตัง) ลงที่สนามบินหาดใหญ่ จากนั้นต่อรถประจำทางหาดใหญ่-พัทลุง มาลงที่ตัวเมืองแล้วต่อรถโดยสาร พัทลุง-ทะเลน้อย
2.รถไฟ(ประหยัด แต่ขึ้นรถไฟไม่ทันแน่ รถออกตั้งแต่ยังไม่เลิกงาน) สามารถลงได้ 2 สถานี คือสถานีรถไฟพัทลุง ที่สถานีจะมีรถโดยสารพัทลุง-ทะเลน้อย อีกสถานีที่ลงได้คือสถานีปากคลอง จะใกล้ทะเลน้อยมากกว่าสถานีพัทลุง ถ้าลงรถไฟสถานีปากคลองให้เดินออกมาจากสถานีประมาณ 100 เมตร แล้วข้ามถนนมารอรถพัทลุง-ทะเลน้อย(สายเดียวกับที่ลงสถานีพัทลุง) ถ้าลงสถานีปากคลองจะใช้เวลาเดินทางไปทะเลน้อยประมาณ 15-20 นาที แต่ถ้าลงพัทลุงจะประมาณ 1-2 ชั่วโมง อันนี้แล้วแต่สะดวก(ถ้าแนะนำ ลงปากคลองดีกว่าเดินทางใกล้กว่ากันเยอะประหยัดเวลา)
3.รถทัวร์โดยสาร คล้ายๆกับรถไฟคือลงได้ 2 ที่คือสถานีขนส่งพัทลุง แล้วต่อรถพัทลุง-ทะเลน้อย อีกที่คือให้ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง แล้วเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกข้ามถนนจะมีศาลาพักผู้โดยสารให้รอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ถ้าลงแยกโพธิ์ทองจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงทะเลน้อย
เนื่องจากไม่ได้ไปรถส่วนตัวผมจึงเลือกเดินทางแบบที่ 3 ใช้บริการรถโดยสาร กรุงเทพ-หาดใหญ่ เที่ยว 3 ทุ่มของวันที่ 30 เมษายน ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมง(นานมากก) ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง ผมไม่เคยไปพัทลุงมาก่อนนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้จุดลงรถแยกโพธิ์ทองว่าอยู่ตรงไหน บอกเด็กรถไว้แล้วว่าลงแยกโพธิ์ทองแต่ก็กลัวเด็กรถจะลืม ผมเลยมีทริกเล็กน้อยใครจะเอาไปใช้ก็ได้นะ ผมรู้ว่ารถใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมงจะถึงพัทลุงประมาณ 9 โมง ผมตื่นตอนประมาณ 8.30 เมื่อรู้ว่าใกล้ถึงแล้วผมใช้วิธีเปิด GPS ดูว่ารถถึงไหนแล้วและอีกไกลไหมจะถึงแยกโพธิ์ทอง แค่นี้ก็รู้จุดลงรถแล้ว แต่จะให้ง่ายกว่านั้นถามคนที่นั่งข้างๆ กรณีที่คนข้างๆเป็นคนพื้นที่นะ ผมมาถึงแยกโพธิ์ทองประมาณ 9.00 น. ถ้าเราเดินเลยแยกไปหน่อยประมาณ 100 เมตรจะมีปั้มปตท มี 7-11 จัดแจงล้างหน้าแปรงฟันหาอะไรลองท้องที่ 7-11 แล้วค่อยออกเดินทาง ก่อนถึงปั้ม ปตท จะมีร้านติ่มซำ เห็นคนเยอะอยู่น่าจะอร่อย ครั้งนี้ไม่ได้ใช้บริการเอาไว้ครั้งหน้าแล้วกัน หลังจากที่ทำธุรส่วนตัวเสร็จ ผมเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกโพธิ์ทองเพื่อรอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ค่าโดยสาร 30 บาท นั่งรถไปลงสุดสาย ถ้าคนขับรถไม่ไล่ก็ไม่ต้องลง ท่ารถจะอยู่ก่อนถึงทะเลน้อยเล็กน้อย ถ้าเราไม่ลงท่ารถรถจะวิ่งต่อไปอีกหน่อยจนถึงทะเลน้อย สังเกตุป้ายเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ถ้าเจอแสดงว่าถึงแล้ว
ที่พัก บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จะมีรีสอร์ทให้บริการค่อนข้างเยอะสามารถเดินWalkin เข้าไปถามได้ไม่ห่างจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเท่าไร ราคาอยู่ในช่วง 400-800 บาท เนื่องจากไม่ได้มารถส่วนตัวจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก ก่อนมาผมทำการบ้านมาก่อนเล็กน้อย ผมจองที่พักของ "ชวนชม-รีสอร์ท"คืนละ 800 บาทห้องแอร์ พร้อมอาหารเช้า ที่จองที่นี้เพราะเหตุผลเดียวเลยคือมีจักรยานให้บริการฟรี แถมเจ้าของยังน่ารักมากช่วยหาข้อมูลการเดินทางโดยรถโดยสารให้ผมพร้อมเลย ผมจองไว้ 1 คืนเพราะตอนแรกกะนอนคืนเดียว พอจะนอนเพิ่มอีกคืนปรากฎว่าที่พักเต็มแล้ว เจ้าของน่ารักสุดๆ หาที่พักอีกคืนให้ผมแถมให้จักรยานไปใช้ฟรีอีก 1 วันด้วย ใครไปทะเลน้อยพักที่นี้ไม่ผิดหวังแน่นอน
โปรแกรมเที่ยวของผม ผมตั้งเป้าจะไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ(ไปดูควายน้ำ), ปากประ(ไปดูยอ), ล่องเรือชมทะเลบัว หลังจากมาถึงที่พักเก็บของเสร็จผมออกมาเก็บภาพเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยก่อนเลย เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากที่พักสามารถเดินมาได้จากที่พัก แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่ที่ไม่ร้อนมากเนื่องจากมีลมพัดโกรกตลอด ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท กรณีมาคนเดียวเจ้าหน้าที่ให้เข้าฟรีไม่เก็บค่าเข้า จะเก็บกรณีที่มาเป็นหมู่คณะ ที่นี้มีบ้านพักสามารถติดต่อจองเข้าพักได้
กลับมากินอาหารเช้าที่รีสอร์ทก่อนจะเก็บของเตรียมย้ายที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมเท่าไรประมาณ 50 เมตร แวะไปถามรีสอร์ทใหม่ปรากฎว่ายังเก็บห้องไม่เสร็จผมเลยฝากของเอาไว้ที่ชวนชมรีสอร์ทก่อน แล้วไปล่องเรือชมทะเลบัว ที่ทะเลน้อยมีเรือให้บริการชมทะเลน้อยราคาเหมาลำละ 450 บาท ผมไปคนเดียวเลยต้องเหมายกลำ ผมใช้บริการเรือของรีสอร์ทสอยดาว เพราะอยู่ใกล้ๆกับที่พัก เรือให้บริการจะมี2แบบ แบบเป็นคิวเรือกับแบบของรีสอร์ทเอง ราคาเท่ากัน เรือจะพาไปชมบัวแดง แล้ววิ่งไปจนถึงสะพานเฉลิมพระเกียรติแล้ววนกลับมา ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง สามารถบอกเรือให้จอดถ่ายรูปจุดที่น่าสนใจได้ ตอนแรกสอบถามรีสอร์ทว่าเรือไปถึงปากประได้ไหม รีสอร์ทบอกว่าไปได้แค่สะพาน ก็เลยตกลงเหมาไปชมแค่บัวแดง แต่ลองถามลุงคนขับเรือว่าไปถึงปากประได้ไหมอยากไปถ่ายยอแบบใกล้ชิด ลุงบอกไปได้ แต่ต้องไปตอนเช้าก่อนที่ลมจะมาเพราะถ้าลมมาจะมีคลื่นอันตราย เอาแล้วไงพลาดนึกว่าเรือไม่ไปปากประ เหมาไปแล้วด้วย เอาวะไหนๆมาแล้วยอมจ่ายอีกเพิ่ม 450 นัดลุงพรุ่งนี้ตี 5 ไปปากประอีกรอบ วันนี้ออกมาสายไปหน่อยบัวเริ่มหุบแล้ว เวลาที่เหมาะแก่การชมบัวจะอยู่ในช่วง 7.00-10.00 เวลาที่เหมาะที่สุดน่าจะประมาณ 7 โมงเช้าเพราะแดดไม่ร้อน วันนี้ก็เลยเก็บภาพนกไปแทน ได้บัวมาอีกนิดหน่อย
ล่องเรือกลับมาเสร็จ แวะไปถามรีสอร์ทว่าเช็คอินได้รึยัง หาคนไม่เจอเอาไงดี เลยแวะไปจองตั๋วร์รถไฟขากลับแล้วกัน ใช้บริการวินรถมอเตอร์ไซด์ 60 บาท ขี้เกียจเดินไปขึ้นรถสองแถวที่คิว ไปสถานีรถไฟปากคลอง จองตั๋วร์รถไฟได้ขบวน 170 ยะลา-กรุงเทพ เวลาออกจากปากคลอง 16.30 ถึงกรุงเทพ 9.00 หลังจากได้ตั๋วเดินออกมาหาอาหารกลางวันกิน บวกกับรอรถสองแถวกลับทะเลยน้อย จากสถานีรถไฟปากคลองไปทะเลน้อยรถสองแถวราคา 20 บาท กลับมาถึงทะเลน้อยรีสอร์ท เก็บห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยแวะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่ชวนชมรีสอร์ทมาที่พักใหม่ เก็บของเสร็จก็นอนเอาแรง ตอนเที่ยงแดดแรงออกเที่ยวไม่ไหว ตอนเย็นกะจะไปสะพานอีกรอบแต่คร่าวนี้กะไปเย็นๆหน่อยสัก 4 โมงครึ่ง หลับเอาแรงตื่นมาตอนบ่ายสาม ไม่รู้จะทำอะไร เลยเอาจักรยานถีบไปชมวิวที่หอชมวิวทะเลน้อย ห่างจากที่พักประมาณ 1 กิโล มองเห็นได้ไกลๆจากที่พัก
การเดินทาง ก่อนไปได้ทำการหาข้อมูลการเดินทางเนื่องจากผมไม่ได้ไปรถส่วนตัว พบว่าการเดินทางไปทะเลน้อยสามารถเดินทางได้หลายวิธี
1.เครื่องบิน(ไม่มีตัง) ลงที่สนามบินหาดใหญ่ จากนั้นต่อรถประจำทางหาดใหญ่-พัทลุง มาลงที่ตัวเมืองแล้วต่อรถโดยสาร พัทลุง-ทะเลน้อย
2.รถไฟ(ประหยัด แต่ขึ้นรถไฟไม่ทันแน่ รถออกตั้งแต่ยังไม่เลิกงาน) สามารถลงได้ 2 สถานี คือสถานีรถไฟพัทลุง ที่สถานีจะมีรถโดยสารพัทลุง-ทะเลน้อย อีกสถานีที่ลงได้คือสถานีปากคลอง จะใกล้ทะเลน้อยมากกว่าสถานีพัทลุง ถ้าลงรถไฟสถานีปากคลองให้เดินออกมาจากสถานีประมาณ 100 เมตร แล้วข้ามถนนมารอรถพัทลุง-ทะเลน้อย(สายเดียวกับที่ลงสถานีพัทลุง) ถ้าลงสถานีปากคลองจะใช้เวลาเดินทางไปทะเลน้อยประมาณ 15-20 นาที แต่ถ้าลงพัทลุงจะประมาณ 1-2 ชั่วโมง อันนี้แล้วแต่สะดวก(ถ้าแนะนำ ลงปากคลองดีกว่าเดินทางใกล้กว่ากันเยอะประหยัดเวลา)
3.รถทัวร์โดยสาร คล้ายๆกับรถไฟคือลงได้ 2 ที่คือสถานีขนส่งพัทลุง แล้วต่อรถพัทลุง-ทะเลน้อย อีกที่คือให้ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง แล้วเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกข้ามถนนจะมีศาลาพักผู้โดยสารให้รอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ถ้าลงแยกโพธิ์ทองจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงทะเลน้อย
เนื่องจากไม่ได้ไปรถส่วนตัวผมจึงเลือกเดินทางแบบที่ 3 ใช้บริการรถโดยสาร กรุงเทพ-หาดใหญ่ เที่ยว 3 ทุ่มของวันที่ 30 เมษายน ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมง(นานมากก) ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง ผมไม่เคยไปพัทลุงมาก่อนนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้จุดลงรถแยกโพธิ์ทองว่าอยู่ตรงไหน บอกเด็กรถไว้แล้วว่าลงแยกโพธิ์ทองแต่ก็กลัวเด็กรถจะลืม ผมเลยมีทริกเล็กน้อยใครจะเอาไปใช้ก็ได้นะ ผมรู้ว่ารถใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมงจะถึงพัทลุงประมาณ 9 โมง ผมตื่นตอนประมาณ 8.30 เมื่อรู้ว่าใกล้ถึงแล้วผมใช้วิธีเปิด GPS ดูว่ารถถึงไหนแล้วและอีกไกลไหมจะถึงแยกโพธิ์ทอง แค่นี้ก็รู้จุดลงรถแล้ว แต่จะให้ง่ายกว่านั้นถามคนที่นั่งข้างๆ กรณีที่คนข้างๆเป็นคนพื้นที่นะ ผมมาถึงแยกโพธิ์ทองประมาณ 9.00 น. ถ้าเราเดินเลยแยกไปหน่อยประมาณ 100 เมตรจะมีปั้มปตท มี 7-11 จัดแจงล้างหน้าแปรงฟันหาอะไรลองท้องที่ 7-11 แล้วค่อยออกเดินทาง ก่อนถึงปั้ม ปตท จะมีร้านติ่มซำ เห็นคนเยอะอยู่น่าจะอร่อย ครั้งนี้ไม่ได้ใช้บริการเอาไว้ครั้งหน้าแล้วกัน หลังจากที่ทำธุรส่วนตัวเสร็จ ผมเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกโพธิ์ทองเพื่อรอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ค่าโดยสาร 30 บาท นั่งรถไปลงสุดสาย ถ้าคนขับรถไม่ไล่ก็ไม่ต้องลง ท่ารถจะอยู่ก่อนถึงทะเลน้อยเล็กน้อย ถ้าเราไม่ลงท่ารถรถจะวิ่งต่อไปอีกหน่อยจนถึงทะเลน้อย สังเกตุป้ายเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ถ้าเจอแสดงว่าถึงแล้ว
ที่พัก บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จะมีรีสอร์ทให้บริการค่อนข้างเยอะสามารถเดินWalkin เข้าไปถามได้ไม่ห่างจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเท่าไร ราคาอยู่ในช่วง 400-800 บาท เนื่องจากไม่ได้มารถส่วนตัวจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก ก่อนมาผมทำการบ้านมาก่อนเล็กน้อย ผมจองที่พักของ "ชวนชม-รีสอร์ท"คืนละ 800 บาทห้องแอร์ พร้อมอาหารเช้า ที่จองที่นี้เพราะเหตุผลเดียวเลยคือมีจักรยานให้บริการฟรี แถมเจ้าของยังน่ารักมากช่วยหาข้อมูลการเดินทางโดยรถโดยสารให้ผมพร้อมเลย ผมจองไว้ 1 คืนเพราะตอนแรกกะนอนคืนเดียว พอจะนอนเพิ่มอีกคืนปรากฎว่าที่พักเต็มแล้ว เจ้าของน่ารักสุดๆ หาที่พักอีกคืนให้ผมแถมให้จักรยานไปใช้ฟรีอีก 1 วันด้วย ใครไปทะเลน้อยพักที่นี้ไม่ผิดหวังแน่นอน
ชวนชมรีสอร์ท ที่ผมพักห้องสะอาดแอร์เย็น เงียบประทำใจสุดๆ
อาหารเช้าที่รีสอร์ทให้บริการ
พระตำหนักที่พระเทพเสด็จในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย
เสร็จจากเขตห้ามล่าสัตว์ทะเลน้อยเกือบเที่ยง แวะหาข้าวกินแล้วกลับไปนอนที่รีสอร์ท(แดดแรงมาก) รอแดดร่มๆ ค่อยปั่นไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ ระยะทางจากทะเลน้อยไปสะพานเฉลิมพระเกียรติประมาณ 8 กิโลเมตรใช้เวลาในการปั่นประมาณ 20-30 นาที ผมไม่ได้ใช้เส้นทางหลักเพราะได้คำแนะนำให้ใช้อีกเส้นจะใกล้กว่า โดยเลยจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าจะมีซอยเล็กๆ ปั่นเข้าไปตามทางในซอยจะไปโผล่ที่ร้านอาหารสามกั๊ก ตัดเข้าถนนสายหลักที่จะไปสะพาน โดยถ้าไปทางซ้ายมือจะไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ ถ้าไปทางขวามือจะไปตัดเข้าถนนที่ไปปากประ ผมออกจากที่พักประมาณบ่ายสามครึ่ง ไปถึงสะพาน สี่โมงร้อนมากสู้แดดไม่ไหว ปั่นไปดูควายเล่นน้ำเสร็จก็ปั่นกลับ เพื่อมาเก็บภาพแสงเย็นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า
จักรยานที่รีสอร์ทให้ยืมไม่ใช่แบบจักรยานแม่บ้านนะครับ เปลี่ยนเกียร์ได้นะขอบอก
แดดแรงจริงๆ
ควายที่ชาวบ้านปล่อยเลี้ยง
สุดท้ายกลับมาเก็บแสงเย็นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า
จบวันแรก โปรแกรมวันที่ 2 ตอนเช้าตั้งใจจะไปถ่ายยอที่ปากประระยะทางประมาณ 15 กิโลจากทะเลน้อย ประมาณเวลาในการปั่นประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากหมดเบียร์2กระป๋อง จัดแจงตั้งนาฬิกาปลุก ตีสี่ครึ่ง แล้วล้มตัวลงนอน หลับสนิทเพราะเหนื่อยจากการปั่นจักรยานกลางแดด(ปกติไม่ได้ปั่นจักรยานประจำอยู่แล้วอย่างมากก็ปั่นอยู่ในโรงงาน) เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น จัดแจงขยับตัวลุกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัว อาบน้ำแปรงฟันเตรียมตัวออกเดินทางไปปากประ ออกจากรีสอร์ทประมาณตี 5 ใช้เส้นทางเดิมที่ไปสะพานเมื่อวาน โดยพอถึงร้านสามกั๊กแทนที่จะไปทางซ้ายก็ให้เลี้ยวไปทางขวาแทน เส้นทางไปปากประค่อนข้างมืดมีไฟทางเป็นระยะ ถ้าใครจะปั่นไปแนะนำติดไฟฉายไปด้วยจะดีมาก ปั่นตามทางไปเรื่อยๆเลยสวนพฤษศาสตร์ไปไม่ไกลก็จะถึงสะพานปากประที่คนนิยมไปถ่ายภาพยอกัน อ๋อแนะนำติดน้ำไปด้วยนะครับ ระหว่างทางไม่มีร้านขายน้ำเลย เมื่อวานปั่นไปสะพานไม่ได้เอาน้ำไปดีนะมันไม่ไกลมาก
วิถีชาวบ้านใช้ยอในการหาปลา
ใกล้ๆสะพานประปาจะมีรีสอร์ทชื่อศรีปากประ บรรยากาศดี เจ้าของก็ใจดี ผมไม่ได้พักที่นี้เขาก็ยินดีให้ผมเข้าไปถ่ายรูป ที่ศรีปากประจะเป็นวิวที่มองเห็นยอได้ชัดเจน เป็นวิวที่สวยมาก ที่นี้เป็นร้านอาหารด้วยชื่อร้านวิวยอ ใครจะมาพักที่นี้แล้วไม่มีรถส่วนตัวเจ้าของศรีปากประแนะนำให้มาเครื่องบินแล้วลงที่สนามบินตรัง จะมีรถตู้วิ่งตรัง-ระโนด-สงขลา จะผ่านข้างรีสอร์ท ขากลับแวะที่สวนพฤษศาสตร์นิดหน่อย
ศรีปากประ
บรรยากาศภายในร้าน/รีสอร์ท
มีเรือให้บริการตลอดทั่งวัน
ออกเริอไปชมบัวแดง
นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาชมบัวแดงตลอดทั่งวัน
นั่งเรือชมวิถีชาวบ้าน
ออกมาสายไปหน่อยไม่มีบัว แต่ฟ้าสวยมากเลยเก็บฟ้ามาแทน
หอชมวิวเปิดให้ขึ้น 2 เวลา 8.00-12.00 และ 13.00-18.00
ภาพจากด้านบนหอชมวิว
ประมาณ 4 โมงครึ่ง ออกจากหอชมวิวปั่นลุยไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวานปั่นไปได้แค่ครึ่งทางไปไม่สุดสะพานวันนี้เลยกะจะปั่นไปเรื่อยๆจนสุดทาง สะพานเฉลิมพระเกียรติเชื่อมระหว่างอ.ขวนขุน จ.พัทลุงกับ อ.ระโนด จ.สงขลา เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย(จำไม่ได้ว่าระยะทางกี่กิโล) ถ้าใครมาสังเกตุดีๆจะมีบันไดไม้ที่ชาวบ้านเอามาพาดไว้สำหรับลงไปหาปลา เราสามารถลงไปด้านล่างได้ ผมใช้เป็นที่หลบแดดระหว่างรอแดดร่ม สุดท้ายก็ปั่นไปจนถึงสุดสะพาน เย็นๆจะมีนักปั่นในพื้นที่ออกมาปั่นก็ไม่ต้องกลัวเหงา ใครจะเก็บภาพพระอาทิตย์ตกที่นี้ก็ได้นะสวยเหมือนกัน แต่ควรกลับก่อน6โมงครึ่งนะครับ เพราะทางที่มาสะพานยังไม่มีไฟถนน ถ้ากลับค่ำจะอันตราย
ปั่นมาจนสุดทาง อ.ระโนด
ตั้งกล้องบนขอบสะพานไม่ได้เอาขาตั้งไป
เก็บแสงเย็นบนสะพาน
ตอนเย็นนัดแนะลุงคนขับเรือ เจอกันตี5 พรุ่งนี้เช้า ตั้งปลุกตี 4 ครึ่งเหมือนเดิม ระยะเวลาการเดินทางไปปากประทางเรือใช้เวลาประมาณ 40 นาที แนะนำถ้าอยากไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นควรออกไม่เกินตี 5 ครึ่ง ขอบอกว่าคุ้มค่ามาก สวยจริงๆภาพยอตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้น ได้ชมวิถีชาวบ้าน ขากลับดอกบัวกำลังบานพอดีได้เก็บภาพบัวอีก กลับมาจ่ายลุงไป 500 ทิปลุงไป 50 บาท ถ้าตอนแรกรู้ว่าเรือไปถึงปากประจริงๆนั่งแค่ช่วงเช้าก็พอได้ทั้งภาพยอ และบัวแดง
วันสุดท้ายแล้ว เช็คเอ้าออกจากรีสอร์ท 10 โมงแต่ฝากกระเป๋าไว้ก่อน ออกไปนั่งฆ่าเวลาที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ระหว่างที่รอก็ถือโอกาสเก็บภาพนก เล่นซะเมมเกือบเต็ม สักบ่ายสามก็กลับมาเอากระเป๋านั่งวินมอเตอร์ไซด์ไปสถานีรถไฟ กะว่ารถไฟจะมาไม่เลทมากจะได้เก็บภาพแสงเย็นบนรถไฟ ตามกำหนดการณ์รถไฟต้องมา 16.30 แต่มันมาเลท ฝนก็ตก ไฟสถานีก็ดับ กว่าจะมาถึงปาเข้าไป 19.00 นั่งตู้นอนไปดีหน่อยจะได้หลับสบายๆ มาถึงสถานีบางซื่อ 10 โมง ชั่งเป็นการนั่งรถที่ยาวนานจริงๆ 15 ชั่วโมง ใครไม่อยากใช้บริการรถไฟ ตรงปากทางสี่แยกโพธิ์ทองผมเห็นมีที่ขายตั๋วร์รถทัวร์กรุงเทพ ยังไงลองถามคนที่นั้นดูได้นะครับ รึจะนั่งรถไปขึ้นรถทัวร์ที่พัทลุงก็ได้ เผือจะแวะเที่ยวเขาทะลุ ทริปนี้ก็จบลงด้วยดี ถ้ามีโอกาสผมคงจะกลับไปใหม่แน่นอน
https://www.facebook.com/chuanchomthalenoi?fref=ts Facebook ของชวนชมรีสอร์ทเผื่อใครสนใจรับรองประทับใจแนะนอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)