วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

CR ทะเลน้อยพัทลุง 3 วัน 2 คืน ไม่มีรถก็เที่ยวได้

         รีวิวนี้เป็นการให้ข้อมูล+บันทึกการเดินทางของผมเอง ทริปนี้เป็นทริปแบบไม่ได้ตั้งใจมันเกิดจาก ตอนแรกผมตั้งใจจะไปหลังสวนชุมพรกับ Trekkingthai ไปล่องแพนอนเกาะพิทักษ์ พักผ่อนสบายๆ  พอติดต่อจองทัวร์ปรากฎว่าเกิดเหตุเล็กน้อย คือที่วันเดินทางโดยเลื่อนออกไปเนื่องจากมีปัญหาเรื่องที่พักเล็กน้อย ซึ่งผมไม่สะดวกจะเดินทางในวันดังกล่าวทำให้ทริปนี้ต้องล่มไป จึงมาเป็นต้นกำเนิดของทริปพัทลุง-ทะเลน้อย

         การเดินทาง ก่อนไปได้ทำการหาข้อมูลการเดินทางเนื่องจากผมไม่ได้ไปรถส่วนตัว พบว่าการเดินทางไปทะเลน้อยสามารถเดินทางได้หลายวิธี
1.เครื่องบิน(ไม่มีตัง) ลงที่สนามบินหาดใหญ่ จากนั้นต่อรถประจำทางหาดใหญ่-พัทลุง มาลงที่ตัวเมืองแล้วต่อรถโดยสาร พัทลุง-ทะเลน้อย
2.รถไฟ(ประหยัด แต่ขึ้นรถไฟไม่ทันแน่ รถออกตั้งแต่ยังไม่เลิกงาน) สามารถลงได้ 2 สถานี คือสถานีรถไฟพัทลุง ที่สถานีจะมีรถโดยสารพัทลุง-ทะเลน้อย อีกสถานีที่ลงได้คือสถานีปากคลอง จะใกล้ทะเลน้อยมากกว่าสถานีพัทลุง ถ้าลงรถไฟสถานีปากคลองให้เดินออกมาจากสถานีประมาณ 100 เมตร แล้วข้ามถนนมารอรถพัทลุง-ทะเลน้อย(สายเดียวกับที่ลงสถานีพัทลุง) ถ้าลงสถานีปากคลองจะใช้เวลาเดินทางไปทะเลน้อยประมาณ 15-20 นาที แต่ถ้าลงพัทลุงจะประมาณ 1-2 ชั่วโมง อันนี้แล้วแต่สะดวก(ถ้าแนะนำ ลงปากคลองดีกว่าเดินทางใกล้กว่ากันเยอะประหยัดเวลา)
3.รถทัวร์โดยสาร คล้ายๆกับรถไฟคือลงได้ 2 ที่คือสถานีขนส่งพัทลุง แล้วต่อรถพัทลุง-ทะเลน้อย อีกที่คือให้ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง แล้วเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกข้ามถนนจะมีศาลาพักผู้โดยสารให้รอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ถ้าลงแยกโพธิ์ทองจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงทะเลน้อย

         เนื่องจากไม่ได้ไปรถส่วนตัวผมจึงเลือกเดินทางแบบที่ 3 ใช้บริการรถโดยสาร กรุงเทพ-หาดใหญ่ เที่ยว 3 ทุ่มของวันที่ 30 เมษายน ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมง(นานมากก) ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง ผมไม่เคยไปพัทลุงมาก่อนนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้จุดลงรถแยกโพธิ์ทองว่าอยู่ตรงไหน บอกเด็กรถไว้แล้วว่าลงแยกโพธิ์ทองแต่ก็กลัวเด็กรถจะลืม ผมเลยมีทริกเล็กน้อยใครจะเอาไปใช้ก็ได้นะ ผมรู้ว่ารถใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมงจะถึงพัทลุงประมาณ 9 โมง ผมตื่นตอนประมาณ 8.30 เมื่อรู้ว่าใกล้ถึงแล้วผมใช้วิธีเปิด GPS ดูว่ารถถึงไหนแล้วและอีกไกลไหมจะถึงแยกโพธิ์ทอง แค่นี้ก็รู้จุดลงรถแล้ว แต่จะให้ง่ายกว่านั้นถามคนที่นั่งข้างๆ กรณีที่คนข้างๆเป็นคนพื้นที่นะ ผมมาถึงแยกโพธิ์ทองประมาณ 9.00 น. ถ้าเราเดินเลยแยกไปหน่อยประมาณ 100 เมตรจะมีปั้มปตท มี 7-11 จัดแจงล้างหน้าแปรงฟันหาอะไรลองท้องที่ 7-11 แล้วค่อยออกเดินทาง ก่อนถึงปั้ม ปตท จะมีร้านติ่มซำ เห็นคนเยอะอยู่น่าจะอร่อย ครั้งนี้ไม่ได้ใช้บริการเอาไว้ครั้งหน้าแล้วกัน หลังจากที่ทำธุรส่วนตัวเสร็จ ผมเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกโพธิ์ทองเพื่อรอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ค่าโดยสาร 30 บาท นั่งรถไปลงสุดสาย ถ้าคนขับรถไม่ไล่ก็ไม่ต้องลง ท่ารถจะอยู่ก่อนถึงทะเลน้อยเล็กน้อย ถ้าเราไม่ลงท่ารถรถจะวิ่งต่อไปอีกหน่อยจนถึงทะเลน้อย สังเกตุป้ายเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ถ้าเจอแสดงว่าถึงแล้ว
         ที่พัก บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จะมีรีสอร์ทให้บริการค่อนข้างเยอะสามารถเดินWalkin เข้าไปถามได้ไม่ห่างจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเท่าไร ราคาอยู่ในช่วง 400-800 บาท เนื่องจากไม่ได้มารถส่วนตัวจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก  ก่อนมาผมทำการบ้านมาก่อนเล็กน้อย ผมจองที่พักของ "ชวนชม-รีสอร์ท"คืนละ 800 บาทห้องแอร์ พร้อมอาหารเช้า ที่จองที่นี้เพราะเหตุผลเดียวเลยคือมีจักรยานให้บริการฟรี แถมเจ้าของยังน่ารักมากช่วยหาข้อมูลการเดินทางโดยรถโดยสารให้ผมพร้อมเลย  ผมจองไว้ 1 คืนเพราะตอนแรกกะนอนคืนเดียว พอจะนอนเพิ่มอีกคืนปรากฎว่าที่พักเต็มแล้ว เจ้าของน่ารักสุดๆ หาที่พักอีกคืนให้ผมแถมให้จักรยานไปใช้ฟรีอีก 1 วันด้วย ใครไปทะเลน้อยพักที่นี้ไม่ผิดหวังแน่นอน
ชวนชมรีสอร์ท ที่ผมพักห้องสะอาดแอร์เย็น เงียบประทำใจสุดๆ

อาหารเช้าที่รีสอร์ทให้บริการ


          โปรแกรมเที่ยวของผม ผมตั้งเป้าจะไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ(ไปดูควายน้ำ), ปากประ(ไปดูยอ), ล่องเรือชมทะเลบัว หลังจากมาถึงที่พักเก็บของเสร็จผมออกมาเก็บภาพเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยก่อนเลย เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากที่พักสามารถเดินมาได้จากที่พัก แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่ที่ไม่ร้อนมากเนื่องจากมีลมพัดโกรกตลอด ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท กรณีมาคนเดียวเจ้าหน้าที่ให้เข้าฟรีไม่เก็บค่าเข้า จะเก็บกรณีที่มาเป็นหมู่คณะ ที่นี้มีบ้านพักสามารถติดต่อจองเข้าพักได้
พระตำหนักที่พระเทพเสด็จในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย

          เสร็จจากเขตห้ามล่าสัตว์ทะเลน้อยเกือบเที่ยง แวะหาข้าวกินแล้วกลับไปนอนที่รีสอร์ท(แดดแรงมาก) รอแดดร่มๆ ค่อยปั่นไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ ระยะทางจากทะเลน้อยไปสะพานเฉลิมพระเกียรติประมาณ 8 กิโลเมตรใช้เวลาในการปั่นประมาณ 20-30 นาที ผมไม่ได้ใช้เส้นทางหลักเพราะได้คำแนะนำให้ใช้อีกเส้นจะใกล้กว่า โดยเลยจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าจะมีซอยเล็กๆ ปั่นเข้าไปตามทางในซอยจะไปโผล่ที่ร้านอาหารสามกั๊ก ตัดเข้าถนนสายหลักที่จะไปสะพาน โดยถ้าไปทางซ้ายมือจะไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ ถ้าไปทางขวามือจะไปตัดเข้าถนนที่ไปปากประ ผมออกจากที่พักประมาณบ่ายสามครึ่ง ไปถึงสะพาน สี่โมงร้อนมากสู้แดดไม่ไหว ปั่นไปดูควายเล่นน้ำเสร็จก็ปั่นกลับ เพื่อมาเก็บภาพแสงเย็นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า

จักรยานที่รีสอร์ทให้ยืมไม่ใช่แบบจักรยานแม่บ้านนะครับ เปลี่ยนเกียร์ได้นะขอบอก

แดดแรงจริงๆ 





ควายที่ชาวบ้านปล่อยเลี้ยง




สุดท้ายกลับมาเก็บแสงเย็นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า

         จบวันแรก โปรแกรมวันที่ 2 ตอนเช้าตั้งใจจะไปถ่ายยอที่ปากประระยะทางประมาณ 15 กิโลจากทะเลน้อย ประมาณเวลาในการปั่นประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากหมดเบียร์2กระป๋อง จัดแจงตั้งนาฬิกาปลุก ตีสี่ครึ่ง แล้วล้มตัวลงนอน หลับสนิทเพราะเหนื่อยจากการปั่นจักรยานกลางแดด(ปกติไม่ได้ปั่นจักรยานประจำอยู่แล้วอย่างมากก็ปั่นอยู่ในโรงงาน)  เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น จัดแจงขยับตัวลุกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัว อาบน้ำแปรงฟันเตรียมตัวออกเดินทางไปปากประ ออกจากรีสอร์ทประมาณตี 5 ใช้เส้นทางเดิมที่ไปสะพานเมื่อวาน โดยพอถึงร้านสามกั๊กแทนที่จะไปทางซ้ายก็ให้เลี้ยวไปทางขวาแทน เส้นทางไปปากประค่อนข้างมืดมีไฟทางเป็นระยะ ถ้าใครจะปั่นไปแนะนำติดไฟฉายไปด้วยจะดีมาก ปั่นตามทางไปเรื่อยๆเลยสวนพฤษศาสตร์ไปไม่ไกลก็จะถึงสะพานปากประที่คนนิยมไปถ่ายภาพยอกัน อ๋อแนะนำติดน้ำไปด้วยนะครับ ระหว่างทางไม่มีร้านขายน้ำเลย เมื่อวานปั่นไปสะพานไม่ได้เอาน้ำไปดีนะมันไม่ไกลมาก



วิถีชาวบ้านใช้ยอในการหาปลา

         ใกล้ๆสะพานประปาจะมีรีสอร์ทชื่อศรีปากประ บรรยากาศดี เจ้าของก็ใจดี ผมไม่ได้พักที่นี้เขาก็ยินดีให้ผมเข้าไปถ่ายรูป ที่ศรีปากประจะเป็นวิวที่มองเห็นยอได้ชัดเจน เป็นวิวที่สวยมาก ที่นี้เป็นร้านอาหารด้วยชื่อร้านวิวยอ ใครจะมาพักที่นี้แล้วไม่มีรถส่วนตัวเจ้าของศรีปากประแนะนำให้มาเครื่องบินแล้วลงที่สนามบินตรัง จะมีรถตู้วิ่งตรัง-ระโนด-สงขลา จะผ่านข้างรีสอร์ท ขากลับแวะที่สวนพฤษศาสตร์นิดหน่อย
 ศรีปากประ

บรรยากาศภายในร้าน/รีสอร์ท

         กลับมากินอาหารเช้าที่รีสอร์ทก่อนจะเก็บของเตรียมย้ายที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมเท่าไรประมาณ 50 เมตร แวะไปถามรีสอร์ทใหม่ปรากฎว่ายังเก็บห้องไม่เสร็จผมเลยฝากของเอาไว้ที่ชวนชมรีสอร์ทก่อน แล้วไปล่องเรือชมทะเลบัว ที่ทะเลน้อยมีเรือให้บริการชมทะเลน้อยราคาเหมาลำละ 450 บาท ผมไปคนเดียวเลยต้องเหมายกลำ ผมใช้บริการเรือของรีสอร์ทสอยดาว เพราะอยู่ใกล้ๆกับที่พัก เรือให้บริการจะมี2แบบ แบบเป็นคิวเรือกับแบบของรีสอร์ทเอง ราคาเท่ากัน เรือจะพาไปชมบัวแดง แล้ววิ่งไปจนถึงสะพานเฉลิมพระเกียรติแล้ววนกลับมา ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง สามารถบอกเรือให้จอดถ่ายรูปจุดที่น่าสนใจได้ ตอนแรกสอบถามรีสอร์ทว่าเรือไปถึงปากประได้ไหม รีสอร์ทบอกว่าไปได้แค่สะพาน ก็เลยตกลงเหมาไปชมแค่บัวแดง แต่ลองถามลุงคนขับเรือว่าไปถึงปากประได้ไหมอยากไปถ่ายยอแบบใกล้ชิด ลุงบอกไปได้ แต่ต้องไปตอนเช้าก่อนที่ลมจะมาเพราะถ้าลมมาจะมีคลื่นอันตราย เอาแล้วไงพลาดนึกว่าเรือไม่ไปปากประ เหมาไปแล้วด้วย เอาวะไหนๆมาแล้วยอมจ่ายอีกเพิ่ม 450 นัดลุงพรุ่งนี้ตี 5 ไปปากประอีกรอบ วันนี้ออกมาสายไปหน่อยบัวเริ่มหุบแล้ว เวลาที่เหมาะแก่การชมบัวจะอยู่ในช่วง 7.00-10.00 เวลาที่เหมาะที่สุดน่าจะประมาณ 7 โมงเช้าเพราะแดดไม่ร้อน วันนี้ก็เลยเก็บภาพนกไปแทน ได้บัวมาอีกนิดหน่อย
มีเรือให้บริการตลอดทั่งวัน

ออกเริอไปชมบัวแดง

นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาชมบัวแดงตลอดทั่งวัน

นั่งเรือชมวิถีชาวบ้าน

ออกมาสายไปหน่อยไม่มีบัว แต่ฟ้าสวยมากเลยเก็บฟ้ามาแทน

         ล่องเรือกลับมาเสร็จ แวะไปถามรีสอร์ทว่าเช็คอินได้รึยัง หาคนไม่เจอเอาไงดี เลยแวะไปจองตั๋วร์รถไฟขากลับแล้วกัน ใช้บริการวินรถมอเตอร์ไซด์ 60 บาท ขี้เกียจเดินไปขึ้นรถสองแถวที่คิว  ไปสถานีรถไฟปากคลอง จองตั๋วร์รถไฟได้ขบวน 170 ยะลา-กรุงเทพ เวลาออกจากปากคลอง 16.30 ถึงกรุงเทพ 9.00 หลังจากได้ตั๋วเดินออกมาหาอาหารกลางวันกิน บวกกับรอรถสองแถวกลับทะเลยน้อย จากสถานีรถไฟปากคลองไปทะเลน้อยรถสองแถวราคา 20 บาท กลับมาถึงทะเลน้อยรีสอร์ท เก็บห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยแวะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่ชวนชมรีสอร์ทมาที่พักใหม่ เก็บของเสร็จก็นอนเอาแรง ตอนเที่ยงแดดแรงออกเที่ยวไม่ไหว ตอนเย็นกะจะไปสะพานอีกรอบแต่คร่าวนี้กะไปเย็นๆหน่อยสัก 4 โมงครึ่ง หลับเอาแรงตื่นมาตอนบ่ายสาม ไม่รู้จะทำอะไร เลยเอาจักรยานถีบไปชมวิวที่หอชมวิวทะเลน้อย ห่างจากที่พักประมาณ 1 กิโล มองเห็นได้ไกลๆจากที่พัก
หอชมวิวเปิดให้ขึ้น 2 เวลา 8.00-12.00 และ 13.00-18.00

ภาพจากด้านบนหอชมวิว

         ประมาณ 4 โมงครึ่ง ออกจากหอชมวิวปั่นลุยไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวานปั่นไปได้แค่ครึ่งทางไปไม่สุดสะพานวันนี้เลยกะจะปั่นไปเรื่อยๆจนสุดทาง สะพานเฉลิมพระเกียรติเชื่อมระหว่างอ.ขวนขุน จ.พัทลุงกับ อ.ระโนด จ.สงขลา เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย(จำไม่ได้ว่าระยะทางกี่กิโล) ถ้าใครมาสังเกตุดีๆจะมีบันไดไม้ที่ชาวบ้านเอามาพาดไว้สำหรับลงไปหาปลา เราสามารถลงไปด้านล่างได้ ผมใช้เป็นที่หลบแดดระหว่างรอแดดร่ม สุดท้ายก็ปั่นไปจนถึงสุดสะพาน เย็นๆจะมีนักปั่นในพื้นที่ออกมาปั่นก็ไม่ต้องกลัวเหงา ใครจะเก็บภาพพระอาทิตย์ตกที่นี้ก็ได้นะสวยเหมือนกัน แต่ควรกลับก่อน6โมงครึ่งนะครับ เพราะทางที่มาสะพานยังไม่มีไฟถนน ถ้ากลับค่ำจะอันตราย
ปั่นมาจนสุดทาง อ.ระโนด


ตั้งกล้องบนขอบสะพานไม่ได้เอาขาตั้งไป



เก็บแสงเย็นบนสะพาน

          ตอนเย็นนัดแนะลุงคนขับเรือ เจอกันตี5 พรุ่งนี้เช้า ตั้งปลุกตี 4 ครึ่งเหมือนเดิม ระยะเวลาการเดินทางไปปากประทางเรือใช้เวลาประมาณ 40 นาที แนะนำถ้าอยากไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นควรออกไม่เกินตี 5 ครึ่ง ขอบอกว่าคุ้มค่ามาก สวยจริงๆภาพยอตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้น ได้ชมวิถีชาวบ้าน ขากลับดอกบัวกำลังบานพอดีได้เก็บภาพบัวอีก กลับมาจ่ายลุงไป 500 ทิปลุงไป 50 บาท ถ้าตอนแรกรู้ว่าเรือไปถึงปากประจริงๆนั่งแค่ช่วงเช้าก็พอได้ทั้งภาพยอ และบัวแดง













          วันสุดท้ายแล้ว เช็คเอ้าออกจากรีสอร์ท 10 โมงแต่ฝากกระเป๋าไว้ก่อน ออกไปนั่งฆ่าเวลาที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ระหว่างที่รอก็ถือโอกาสเก็บภาพนก เล่นซะเมมเกือบเต็ม สักบ่ายสามก็กลับมาเอากระเป๋านั่งวินมอเตอร์ไซด์ไปสถานีรถไฟ กะว่ารถไฟจะมาไม่เลทมากจะได้เก็บภาพแสงเย็นบนรถไฟ ตามกำหนดการณ์รถไฟต้องมา 16.30 แต่มันมาเลท ฝนก็ตก ไฟสถานีก็ดับ กว่าจะมาถึงปาเข้าไป 19.00 นั่งตู้นอนไปดีหน่อยจะได้หลับสบายๆ มาถึงสถานีบางซื่อ 10 โมง ชั่งเป็นการนั่งรถที่ยาวนานจริงๆ 15 ชั่วโมง ใครไม่อยากใช้บริการรถไฟ ตรงปากทางสี่แยกโพธิ์ทองผมเห็นมีที่ขายตั๋วร์รถทัวร์กรุงเทพ ยังไงลองถามคนที่นั้นดูได้นะครับ รึจะนั่งรถไปขึ้นรถทัวร์ที่พัทลุงก็ได้ เผือจะแวะเที่ยวเขาทะลุ ทริปนี้ก็จบลงด้วยดี ถ้ามีโอกาสผมคงจะกลับไปใหม่แน่นอน

https://www.facebook.com/chuanchomthalenoi?fref=ts Facebook ของชวนชมรีสอร์ทเผื่อใครสนใจรับรองประทับใจแนะนอน

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บันทึการเดินทาง ผาแง่ม ดินแดนสองฤดู 31/1/58

         ถ้ามีคนเอ่ยชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนามว่า "ผาแง่ม" ในฐานะที่ผมท่องเที่ยวภายในประเทศมาหลายปี เดินป่ามาหลายที่ ขอสารภาพตรงนี้เลยว่า ไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้มาก่อน ที่เคยจะคุ้นชื่อมาบางก็จะมีผาแง่มน้อยที่กิ่วแม่ปาน ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้ก็เข้าใจว่าเป็นสถานที่เดียวกัน แต่จริงๆแล้วเป็นคนละสถานที่กัน แต่อยู่ไม่ห่างกันมาก ตั้งอยู่ในเขตอช.ดอยอินทนนท์เหมือนกัน ผาแง่มหรือดอยผาแง่มได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผาสองฤดู ในความคิดแรกที่ได้ยินว่าผาสองฤดู ก็คิดว่ามันจะเป็นยังไงกัน หรือจะเป็นแบบป่าสองฤดูที่มีทั้งฤดูฝนและฤดูร้อนในวันเดียวกันรึป่าว ทำให้ผมเกิดความสนใจในสถานทีแห่งนี้ขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนรู้จักได้มีโอกาสไปสถานทีแห่งนี้แล้วโพสภาพลง Facebook ทำให้ผมเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น จึงไม่รอช้าหาข้อมูลพร้อมลงชื่อร่วมทริปทันที ตอนแรกตั้งใจจะลงชื่อไปคนเดียว แต่เห็นว่ายังไม่ครบ มีคนลงชื่อไปน้อยกลัวจะล้ม เลยลองชวนเพื่อนๆพี่ๆ ที่ทำงานโดยโพส Event  Facebook ลงใน Line Group ของกลุ่มเพื่อนที่บริษัท เลยได้สมาชิกมาร่วมการเดินทางอีก 2 คน รวมกับสมาชิกจากกลุ่มอื่น ได้ 10 คนพอดี เมื่อได้คนครบก็ Let Go!!!!

         ผมและเพื่อนอีก 2 คนขึ้นรถที่ มธ.รังสิต โดยอีก 8 คนที่เหลือ นัดขึ้นรถกันที่กรุงเทพ จริงๆตอนแรกถ้าไปคนเดียวก็กะจะขึ้นรถที่กรุงเทพเหมือนกัน แต่พอมีเพื่อนไปเลยทิ้งรถไว้ที่บริษัทแล้วไปขึ้นรังสิตดีกว่า ขากลับจะได้กลับมานอนที่โรงงานจะได้มีเวลานอนเพิ่มอีกหน่อยก่อนทำงาน วันเดินทางเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน + มีกิจกรรมการเดินเดินธุดงค์ของวัดแทบรังสิต ทำให้รถติดมากมาย นั่งแท๊กซี่จากโรงงานมาได้สักพักเจอรถติดกลัวจะไปไม่ทัน เลยบอกคนขับ "พี่ทางด่วนเลย ผมจ่ายเอง" (ป๋ามากกกก) เราไปถึง มธ ก่อนเวลานัดพอสมควรเนื่องจากหนีรถติดขึ้นทางด่วนมา รอรถอยู่ประมาณ เกือบชั่วโมงรถตู้ทะเบียน.......(จำไม่ได้) ก็มาจอด ยังไม่ทันที่พี่ช้างคนจัดทริปจะเปิดประตูลงมา โดยสัญชาติญาณผมรู้โดยทันทีว่า รถตู้คันนี้แน่นอน(ยิ่งว่าริวจิตสัมผัสอีก) พวกเรารีบแบกกระเป๋าอันแสนหนักเดินมาที่รถ จัดแจงเอาของขึ้นหลังรถ ยิ้มทักทายสมาชิกร่วมทริปเล็กน้อย เนื่องจากยังไม่รู้จักกันเลยแค่ยิ้มๆให้ หลังจากขึ้นรถมาได้ก็จัดแจงขยับซ้ายขยับขวาวางตัวหาที่เหมาะๆ เอาหูฟังเปิดเพลงใส่หู แล้วร่ำลาเพื่อนอีก 2 คนที่ไปด้วย "เจอกันตอนเช้านะ" แล้วค่อยๆหลับตา โดยมีเสียงเพลงค่อยกล่อม หลับๆตื่นๆตลอดทั้งคืน เพราะเป็นคนที่นอนบนรถไม่ค่อยหลับแต่ก็อาศัยหลับตาแล้วฟังเพลงเป็นการพักผ่อน(ดูเหมือนหลับแต่จริงๆไม่หลับนะ) รถวิ่งมาทางแม่ฮ่องสอน เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาเล่นเอามึนกันเลยทีเดียว ยิ่งนั่งข้างหลังขอบอกถ้าเป็นคนเมารถนี้มีอ๊วกแน่ เรามาถึงอ.จอมทองประมาณ6 โมงแวะซื้อของที่ตลาด(เขาลงไปซื้อกันแต่ผมขอนอนเอาแรง....คนอื่นดีกว่า อิอิ) จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ อช.อินทนนท์ เข้าสู่สถานีเกษตรขุนวาง

           จุดเริ่มเดินเท้าของผาแง่มจะเริ่มที่บริเวณสถานีเกษตรขุนวาง ระยะทางเดินเท้าประมาณ 3 กิโลเมตร ดูเหมือนจะไม่ไกลเท่าไร ก่อนหน้าที่จะมาหาข้อมูลมาว่าใช้เวลาในการเดินขึ้นผาแง่ม 3 ชั่วโมงกับระยะทาง 3 กิโลเมตร ในตอนนั้นบอกได้เลยว่า "เวอร์แล้ว 3 กิโล 3 ชั่วโมง" 3ชั่วโมงนี้ผมเคยเดินได้ 6-8 กิโลเลยนะ ขนาดไปเชียงดาวขึ้นทางเด่นหญ้าขัดระยะทาง 8 กิโลยังใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงกว่าเอง นี้แค่ 3 กิโลใช้เวลา 3 ชั่วโมงนี้เวอร์ไปแล้ว คิดในใจให้เต็มทีเดินสบายๆเรื่อยๆ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่ดูเหมือนคำที่เค้ากล่าวขานกันจะเป็นจริง เราใช้เวลาในการเดินขึ้นผาแง่ม 3 ชั่วโมงพอดีกับระยะทาง 3 กิโล สาเหตุที่ใช้เวลาเยอะเนื่องจากทางค่อนข้างชันถึงชันมาก ทางราบแทบไม่มีให้เห็น เดินไป 20 ก้าวพัก 10 นาที แถมแบกของมาเต็มกระเป๋าซะด้วยเพราะเห็นว่าเดินแค่ 3 กิโล รู้งี้น่าจะเชื่อพี่ช้างแต่แรก ของที่ไม่ได้ใช้ในทริปนี้ขนมาเพียบเลย เราขึ้นมาถึงจุดตั้งแคมป์ประมาณบ่ายโมง กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นมาถึงจุดกางเต้นท์(วันนี้มีกลุ่มอื่นขึ้นมาด้วยร่วมแล้วประมาณ 30 คน) ก็ตามแบบที่เขาบอก มาก่อนได้ก่อน เรามาถึงก่อนก็ยึดพื้นที่ทำเลดีสำหรับกางเต้นท์ได้ก่อน เรากางเต้นท์ใกล้ต้นไม้ใหญ่ทำให้มีที่ผูก Flysheet สำหรับที่ทำอาหารและที่กินข้าว ดูเหมือนจะดี แต่บริเวณที่เรายึดพื้นที่ลมแรงมาก ตอนกลางคืนลมพัดแรงตลอดคืนเลย ถ้าเต้นท์ไม่ตอกสมอบกนี้มีปลิวตกเขาแน่ อากาศด้านบนถ้าไม่มีลมอาจจะแค่เย็นๆออกหนาวนิดหน่อย แต่พอมีลมบอกได้เลยว่าหนาวฝุดๆ ตอนหัวค่ำวัดอุณหภูมิได้ 12 องศา ในใจคิดว่าคืนนี้มี ศูนย์องศาแน่ (ที่ไหนได้แค่ 9 องศา)

        หลังจากกางเต้นท์เสร็จ เนื่องจากพวกเราขึ้นมาถึงกันเร็ว บางส่วนก็พักผ่อนเอาแรง สาวๆในทริปก็ช่วยกันแสดงฝีมือความเป็นแม่บ้านแม่เรือนช่วยกันบรรเลงหั่นผักลงมือทำครัวกันอย่างสนุกสนาน เปรียบเหมือนสมาคมแม่บ้านทหารบกเลยก็ว่าได้ ผมได้แต่ส่งกำลังใจช่วยสาวๆ(แมนสุดๆ) สาวๆเตรียมเครื่องปรุ่งอาหารสำหรับมื้อเย็น พร้อมหั่นผักเตรียมเอาไว้ก่อน ตอนเย็นจะได้เอามาทำได้เลย มื้อเย็นเราได้ฝุ่นเป็นเครื่องเคี้ยง เพราะลมแรงมากพัดฝุ่นมาเป็นระยะๆ พอดีคนเดินผ่านหน้าแคมป์เราก็จะมีฝุ่นตามมาเป็นของแถม หลังจากเตรียมของทำอาหารเสร็จ สักประมาณ 4 โมงเราก็มุงหน้าขึ้นยอดดอยผาแง่มเพื่อไปไหว้พระธาตุขุนวาง และไปชมโครตสันคมมีด(เล่นเอาสันคมมีดเขาช้างเผือกกระจอกไปเลย) โครตสันคมมีดเป็นช่องทางเดินระหว่างเขากว้างประมาณศอก แล้วสองข้างเป็นหน้าผาสูง (ไม่ได้ข้ามไปนะเค้ากลัววว) บริเวณยอดดอยถ้าโชคดีเราจะเห็นผาสองฤดู คือถ้าหันหน้าเข้าสันคมมีดฝั่งซ้ายมือจะมีหมอกขึ้นเต็มจนมองไม่เห็นด้านล่าง แต่ขวามือจะไม่มีหมอกเลย เป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แต่พวกเราโชคไม่ค่อยดีเลยไม่ได้เห็นผาสองฤดู ฟ้าเปิดมองเห็นวิวสองข้างได้อย่างชัดเจน  บนยอดดอยเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นอย่างไม่น่าจะเกิด กล้องสุดLove เกิดการหลุดจากขาตั้งกล้องกระทบพื้นอย่างแรง เล่นเอากระบอกเลนส์แตกเห็นสายแพร่ข้างในเลย เศร้าสุดๆ (ในใจแอบคิดทำไมมันไม่หล่นให้กล้องมันตกหน้าผาไปเลยจะได้ซื้อกล้องใหม่ D750 จะได้ซื้อแล้วเชียว อดเลย) ทำให้เลนส์ตัวนี้ไม่สามารถโฟกัสได้ เอาภาพมาดูเบลอหมดเลย ดีที่รู้ตัวก่อนว่าภาพมันเบลอเลยเปลี่ยนเลนส์ตัวใหม่ไปใช้ ไม่งั้นอดได้ภาพสวยๆแน่ 
         มื้อเย็นพี่ช้างแสดงฝีมือทำอาหารให้พวกเรากิน มื้อเย็นมีไก่ผัดพริกขิง ยำกุนเชียง ไข่เจียว ต้มยำไก่ และกระเพาที่เหลือจากมื้อกลางวัน ข้าวที่หุ่งเย็นเจี๊ยบเหมือนหุ่งไว้เมื่อเช้าแล้วเอาไปแช่เย็น คงเป็นเพราะอากาศหนาว ยังดีที่ได้ต้มยำร้อนๆเอาไว้ซดน้ำให้อุ่น หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเย็นมีกิจกรรมสังสรรค์ ปาร์ตี้เหล้าบ๋วยแก้หนาว อุตสาแบกเหล้าบ๋วยจากข้างล่างขึ้นมา 2 กลม(ที่สถานีเกษตรจะมีจำหน่ายเหล้าบ๋วยที่ทางสถานีเกษตรทำขึ้นเอง แอลกอฮอล์ 25%) ไม่รู้ว่าอากาศหนาวหรือสมาชิกกระหาย เหล้าบ๋วย 2 กลมถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว ประดุจดั่งน้ำปล่าว มันหมดเร็วมากๆ เรียกว่ากินแทนน้ำเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะสาว.....(ตามจรรยาบรรณเราจะไม่เอ๋ยชื่อสมาชิก ขอใช้ชื่อว่านางสาว A...) เทอสดเหล๋าเหมือนอดยากมานาน จากสาวเงียบเรียบร้อยเมื่อได้ลิ้มรสสุราชั้นดี ของดีขึ้นชื่อแห่งขุนวาง เธอเปลี่ยนไป๋!!!!!! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ สาวเงียบกลายเป็นสาวสังคมพูดคุยกับทุกคนเหมือนเป็นเพื่อนสนิทรู้จักมานาน ทำให้บรรยากาศในงานปาร์ตี้สนุกสนานเป็นกันเองมากขึ้น ทำให้สมาชิกร่วมทริปได้รู้จักกันสนิทมากขึ้น ถ้าเธอไม่มาทริปนี้คงเงียบเหงา แต่ก็คงจะดีกว่านี้ถ้าเธอจิบแทนการซด จะทำให้เราได้ลิ้มรสสุราชั้นดีชื่นชมธรรมชาติได้นานมากขึ้น ประมาณ 3 ทุ่มหลังจากเหล้าหมดก็แยกย้ายกันไปนอน ตอนเช้าฟรีสไตล์ใครอยากขึ้นยอดหรือนอนต่อตามสบาย ผมตั้งใจจะตื่นขึ้นมาถ่ายทางช้างเผือกหลังจากที่ผิดหวังจากที่เชียงดาว กะว่าจะตื่นประมาณตี3 แต่พอถึงเวลาลุกออกมาดูลมแรงและอากาศหนาวมากขอนอนต่อดีกว่า ตื่นมาอีกที่ตี 5 แต่ยังคงมีความตั้งใจอยู่ กัดฟันหยิบกล้องลุยลมหนาวลุกออกมาจากเต้นท์ ลุยขึ้นมาเก็บภาพดาว มองซ้ายมองขวาดาวเต็มฟ้าเลย แล้วทางช้างเผือกอยู่ทิศไหนเนี้ย เค้าบอกถ้าจะหาทางช้างเผือกให้หากลุ่มดาวแมงป๋อง เพราะกลุ่มดาวแมงป๋องจะอยู่ใจกลางทางช้างเผือกพอดี แล้วตรงไหนละกลุ่มดาวแมงป๋อง สรุปหาไม่เจอ งั้นถ่ายไปก่อนแล้วกัน ถ่ายไปได้สักพักกดดูรูป ได้ภาพที่เป็นกลุ่มดาวคล้ายทางช้างเผือก "จะใช่ไหมว่ะ" ตัดสิ้นใจกดอีกรูป จนมั่นใจว่าใช่แน่นอน สรุปทางช้างเผือกจะขึ้นทางทิศตะวันออกในตอนประมาณตี5 เพราะที่เชียงดาวก็ขึ้นทิศตะวันออกเช่นกัน พอมั่นใจว่าใช่แน่นอนก็ตัดสิ้นใจลุยขึ้นไปยอดดอยคนเดียวตอนตี 5 ระหว่างทางเจอมุมเหมาะเลยกดไปหลายรูปอยู่เหมือน ถ่ายไปสักพักก็มีคนเริ่มทะยอยตามขึ้นมา ผมไม่ได้อยู่จนถึงพระอาทิตย์ขึ้นเพราะคิดว่าคงไม่ได้เห็นผาสองฤดูแน่ๆเลยลงไปข้างล่างก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น(ยังแอบเสียด้ายอยู่เลย) พอกลับลงมาข้างล่าง ดันลืมปิดเต้นท์ไว้ฝุ่นเต็มเต้นท์เลย ถุงนอนมีแต่ฝุ่น นอนต่อไม่ได้ซะแล้ว เลยเก็บภาพบรรยากาศรอบๆแคมป์ต่อแทนการนอนผักผ่อน พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้นสมาชิกก็ทะยอยลุกออกจากเต้นท์หยิบกล้อง หยิบมือถือมาเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น กันอย่างคึกคัก หลายคนมุ่งหน้าขึ้นยอดดอยแต่ผมขอตัวไม่ขึ้นเพราะเพิ่งลงมา  หลังจากเก็บภาพประทับใจกันจนจุใจ สมาชิกก็มารวมกลุ่มกันรับประทานอาหารเช้า มื้อเช้าเป็นผัดซี้อิ๋ว มื้อเช้าผมกินไม่เยอะเพราะปวด... หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเช้าก็จัดแจงเก็บเต้นท์ ระหว่างเก็บเต้นท์ มีหมอกพัดมาจากฝั่งขุนวางขึ้นมาปิดยอดดอย ทำให้เราได้เห็นผาสองฤดูสมใจที่อยากเจอ(แอบเสียด้ายไม่ได้ขึ้นยอดไปถ่ายที่สันคมมีดตอนเป็นผาสองฤดู) 
         ขาลงเราใช้คนละเส้นทางกับขาขึ้น ใช้เวลาเดินลงแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงจุดหมาย พอลงมาถึงขุนวางก็จัดแจงอาบน้ำหลังจากที่เมื่อคืนไม่ได้อาบ ที่ขุนวางมีน้ำร้อนให้อาบด้วย แต่น้ำร้อนมาก มีป้ายเขียนไว้ถ้าจะใช้น้ำร้อนให้เปิดก๊อกอย่างเดียวห้ามปรับ เราก็เชื่อฟังไม่ปรับความร้อน น้ำร้อนมากก น้ำเย็นก็ไม่มีผสมยอมอาบมันแบบร้อนๆนี้แหละ หลังจากอาบน้ำเสร็จ จัดแจงเก็บกระเป๋าสัมภาระ แล้วก็ขอตัวลงไปเก็บภาพนางพยาเสื้อโคร่งที่กำลังบานช่วงนี้ ซึ่งมีหลายคนทักแล้วว่ามันล่วงไปหมดแล้ว แต่เราก้ไม่เชื่อ แล้วเป็นไงละ น่าจะเชื่อเค้าดีกว่า นางพยาเสื้อโคร่งยังพอมีดอกบานแต่เหลือน้อยแล้วไม่ค่อยสวยอย่างที่คิด แถมต้องเดินลงไปไกลพอสมควรจากจุดจอดรถ ขากลับขึ้นมาเล่นเอาเหงื่อตกเลยทีเดียว เราออกจากขุนวางประมาณบ่ายโมง แวะทานเข้าที่กม31 ที่ทำการอุทยาน จากนั้นก็วิ่งยาวกลับกรุงเทพ แวะทานข้าวเย็นที่ตาก ถึงกรุงเทพประมาณเที่ยงคืน ทริปนี้ก็ได้มิตรภาพดีๆเช่นเคย
          เขาว่ากันว่า"คนที่รักธรรมชาติหรือชอบอะไรเหมือนๆกันเมื่อเจอกันมักจะเข้ากันได้ดี" แต่ผมว่า "เมื่อคนบ้าเหมือนกันมาเจอกันบวกสุราดีๆ มันก็มักจะเข้ากันได้ดีจริงไหมครับ".......

ภาพบรรยากาศทริปนี้
https://www.facebook.com/supawat.punnanon/media_set?set=a.922240454477191.1073741842.100000737362962&type=3

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

CR เรื่องราวประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบัน ภาค 3

         มาต่อกันภาค3นะครับ หลังจากที่หายไปหลายวันติดภาระกิจนิดหน่อย ไปตีแบตมาหลังจากไม่ได้ตีมานานเล่นเอาซะยกแขนไม่ขึ้น เลยไม่ได้เขียนมาหลายวัน วันนี้ดีขึ้นเลยมาเขียนเรื่องราวการท่องเที่ยวภาค3ต่อ ไม่ให้ช้าเสียเวลามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
       หลังจากทริปรักนกรักป่าครั้งที่3 จบลง กลุ่มรักนกรักป่าก็ปิดตัวลงจึงไม่มีกิจกรรมของกลุ่มอีก อีกทั้งตอนนั้นเรียนปี3 กันแล้วการเรียนก็ค่อนข้างหนักจึงทำให้หลายๆคนแยกย้ายกันไป แต่ก็ยังมีบ้างคนในกลุ่มที่ยังคงเที่ยวกันต่อ ทริปต่อมาหลังจากจบทริปรักนกรักป่า เป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจ จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก็ไม่ได้ อธิบายหน่อยแล้วกันจริงๆตั้งใจจะไปทีนึง แต่สุดท้ายได้ไปอีกทีนึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ทริปนี้เริ่มจากช่วงปิดภาคเรียนปี3 หลังจากที่ฝึกงานเสร็จก่อนเปิดภาคเรียน อ.เชิดชวนไปหาที่แช่น้ำนอนเล่นกัน เอาแบบไปง่ายๆ ถูกๆ สรุปสถานีที่คือน้ำตกเอราวัณ จ.กาญจนบุรี สมาชิกทริปนี้มีด้วยกัน 4 คน อยากไปกันแบบประหยัดๆ โดยการนั่งรถทัวร์จากขนส่งสายใต้ไปลงที่ จ.กาญจนบุรี เพื่อเดินทางไปยังน้ำตกเอราวัณ ที่กาญจนบุรีมีรถวิ่งจากตัวเมืองไปจนถึงตัวน้ำตก แต่เนื่องจากอยากมากันอย่างประหยัด เลยตกลงกันที่จะโบกรถไปยังตัวน้ำตก(ติดใจการโบกจากทริปก่อน อยากลองฝีมือหน่อย) เรานั่งรถประจำทางออกไปห่างจากตัวเมืองเล็กน้อยเพื่อให้โบกง่ายขึ้น เราโบกรถกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีรถกระบะแบบมีหลังคาจอด มีลุงแก่ๆเป็นคนขับ ลุงเปิดกระจกถามเราว่า "จะไปไหนกัน" เราตอบไปว่า "ไปน้ำตกเอราวัณครับลุงผ่านรึป่าวครับ พวกผมขอติดรถไปหน่อย" ลุงแกตอบมาว่า " ไปซิบ้านลุงอยู่แถวนั้น ลุงคิดค่ารถ 300"(จำไม่ได้ว่าลุงแกคิดเท่าไรน่าจะประมาณ 300) อ.เชิดตอบลงไปในทันใดว่า "ไม่ดีกว่าครับลุงเราอยากโบกรถไปมากกว่า ลุงไปเถอะครับ" ลุงแกก็แสดงท่าทีว่าอยากจะให้ไปด้วย มาทราบทีหลังว่าลุงแกเพิ่งไปส่งฝรั่งกลับตัวเมือง แล้วต้องวิ่งรถเปล่ากลับบ้าน เลยหารับคนข้างทางเป็นค่าน้ำมัน ลุงแกชวนอยู่นานจนสุดท้ายลุงยื่นข้อเสนอใหม่ คนละ50บาท พวกเราเลยปรึกษากันก็ตกลงไปกับลุง เพราะโบกมาสักพักแล้วยังไม่ได้รถเลยกลัวจะไปถึงเย็นด้วย อ.เชิดนั่งข้างหน้าข้างคนขับกับลุง ส่วนพวกเราที่เหลืออีก3คนนั้งข้างหลัง รถลุงแกเป็นรถกระบะแบบรถ2แถว คือมีที่นั่ง2ข้างที่กระบะท้าย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดตามแผนสักเท่าไร นอกจากเรื่องโบกรถ รถวิ่งมาจนเกือบถึงน้ำตกเอราวัณ อยู่ดีๆรถก็หันหัวเข้าไปจอดที่บ้านหลังหนึ่ง ลุงแกเปิดประตูลงมาจากรถแล้วบอกพวกเราที่อยู่ข้างหลังว่า "รอแป๊ะนะ เดี่ยวลงไปเอาเสื้อผ้าก่อน" พวกเรา3คนก็งงว่าลุงจะไปเล่นน้ำตกกับเราด้วยเหรอ พอลุงแกเดินเข้าบ้าน อ.เชิดก็เปิดประตูลงมาเล่าสาเหตุที่ลุงไปเก็บเสื้อผ้า อ.เชิดแกบอกว่าระหว่างที่นั่งรถมา แกเกิดเปลี่ยนใจอยากไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เลยถามลุงไปว่า "ลุงถ้าไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นลุงไปไหม คิดราคายังไง พวกน้องๆเขายังไม่เคยไปกัน) ลุงแกบอกราคามา ท้ายถ้าจำไม่ผิด 2000 บาท อ.เชิดตกลงในทันทีโดยไม่ปรึกษาใครตามสไตร์แก
         น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นน้ำตกขนาดกลางที่เรียกได้ว่าเป็นราชินีน้ำตก(ราชาคือทีลอซู) สามารถไปได้2เส้นทางด้วยกันคือ เส้นที่1 ใช้วิธีเอารถข้ามโป๊ะ แล้ววิ่งต่ออีกไม่ไกล เส้นทางที่ 2 ที่พวกเรากำลังจะไปคือใช้เส้นทางจากน้ำตกเอราวัณวิ่งเลาะเริ่มเขื่อนขึ้นไป สมัยที่พวกเราไปทางยังเป็นทางลูกรัง เส้นทางค่อนข้างจะลำบากผิดกับสมัยนี้ที่ถนนลาดคอนกรีตจนถึงตัวน้ำตก สมัยก่อนนี้รถเก๋งเรียกได้ว่าแทบจะหมดสิทธิ์ไปได้เลยทีเดียว ผิดกับสมัยนี้รถเก๋งโหลดเตี้ยยังไปได้ ผมกับสมาชิกอีก2คนเพิ่งเคยมาน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นครั้งแรก ยอมรับว่าเป็นน้ำตกที่สวยมากตั้งแต่ผมเริ่มเที่ยวมา ครั้งนี้ผมติดกล้อง Digital สุด hitech ไปด้วย เลยได้มีโอกาสเก็บภาพน้ำตกสุดสวยแห่งนี้ และถือเป็นโชคดี ผมได้มีโอกาสส่งภาพน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นไปประกวดภาพถ่ายของนิติยสาร อสท แล้วได้รางวัลเป็นนิติยสาร อสท ฟรี1ปี พร้อมกล้องฟลิม์แบบที่ใช้ได้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเลยของ KODAK ไม่รู้ยังไม่คนจำได้รึป่าว ครั้งนี้เราผูกเปลนอนเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา อากาศเดือนเมษาค่อนข้างร้อน การผูกเปลนอนทำให้ลมพักโกรกเย็นสบาย ตั้งแต่เริ่มเที่ยวมาผมผูกเปลนอนตลอดยังไม่เคยนอนเต้นท์เลย หลายๆคนที่เริ่มเที่ยวแบบนี้มักจะเคยนอนเต้นท์กันมาก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนมานอนเปล ผิดกับผม(รึเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา) ทริปนี้ก็ออกจะสบายๆชิวๆ เพราะตั้งใจจะมาหาที่นอนแช่น้ำ จำได้ว่าที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นจะมีร้านค้าขายอาหารตามสั่งบริเวณด้านล่าง ตอนนั้นไปสั่งข้าวไข่เจียวหมูสับแล้วไข่ที่เขาทอดมามันกรอบอร่อยมาก แต่ไปรอบหลังๆเหมือนจะไม่ค่อยกรอบแล้ว รึเขาเปลี่ยนร้านไปแล้วก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นติดใจไข่เจียวร้านนั้นมาก เวลาเพื่อนๆจะมาน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นผมก็จะบอกอยู่เสมอว่า อย่าลืมสั่งไข่เจียวกรอบๆนะ อร่อยมาก ไม่รู้หลายๆคนจะมีโอกาสได้กินไข่เจียวกรอบไหม ขากลับจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นลุงพาเราไปแวะที่ถ้ำพระธาตุ ซึ่งอยู่เลยน้ำตกเอราวัญมาไม่ไกล การเข้าถ้ำต้องมีคนนำทางแล้วใช้แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ ถึงแม้จะเป็นเดือนเมษาที่อากาศร้อนแต่พอเข้าไปในถ้ำ อุณหภูมิกลับลดลงอย่างน่าแปลกใจเรียกได้ว่าภายในถ้ำอากาศเย็นสบายเหมือนมีใครมาติดเครื่องปรับอากาศไว้ สาเหตุที่ชื่อว่า้ถพระธาตุเพราะภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อนที่ก่อร่างสร้างตัวเป็นรูปลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางห้ามญาติ เมื่อแสงตะเกียงเจ้าพายุไปกระทบยิ่งส่งให้สวยงามยิ่งขึ้น หลังจากกลับจากถ้ำพระธาตุลุงแวะส่งเราแค่ที่บ้านลุง เราตั้งใจจะนั่งรถประจำทางรอบสุดท้ายของวันกลับตัวเมือง แต่ไหนๆตั้งใจจะมาโบกรถเที่ยว เลยลองโบกดูระหว่างที่รอรถประจำทาง ไม่น่าเชื่อจะโบกง่ายมาก มีรถกระบะคันหนึ่งจอดรับเราเป็นหญิงสาววัยกลางคน ไม่ได้พูดจาอะไรกันมา เราแค่บอกว่าผ่านตัวเมืองกาญไหมครับ เขาพยักหน้า พวกเราก็รีบแยกย้ายลาลุงแล้วกระโดดขึ้นรถกระบะทันที รถมาจอดที่ตัวเมืองกาญพวกเราลงจากรถกระบะยังไม่ทันได้ขอบคุณรถคันนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้กลัวใครในพวกเรารึป่าว ขากลับจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นวิ่งบนถนนลูกรังเรียกได้ว่าเป็นฝรั่งหัวแดงกันเลยทีเดียว จะนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพก็กลัวรถจะไม่ให้ขึ้น เลยตัดสิ้นใจหาที่อาบน้ำกันก่อน มองซ้ายมองขวาหันไปเจอสถานีตำรวจ "ตำรวจเป็นที่พึงของประชาชน" คำนี้ใช้ได้จริงๆ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์คนไม่เยอะวุ่นวาย(จริงๆเรียกว่าไม่มีคนเลยละ) เราผลัดกันอาบโดยมีคนดูต้นทางไว้ เนื่องจากสถานีตำรวจไม่มีห้องอาบน้ำเราเลยอาศัยห้องส้วมในการอาบ ทำการแอบอาบในสถานีตำรวจ (หวังว่าตำรวจคงไม่สืบคดีย้อนหลังนะ ไม่งั้นดังแน่ พาดหัวข่าวประจำวัน "อาจารย์พร้อมนักศึกษาอีก3คน บุกยึดห้องน้ำกลางสถานีตำรวจ") จริงๆในระหว่างการอาบก็มีตำรวจนายหนึ่งมาถามเหมือนกันว่าทำอะไรกัน ก็ก็บอกไปว่ามาอาบน้ำครับ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ตำรวจใจดีอยู่แล้ว นี้ก็เป็นอีกทริปหนึ่งที่ประทับใจแม้จะไม่ใช่การเดินป่าที่แสนโหด ครั้งนี้ก็ขอจบเรื่องแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับเอาไว้รอภาค 4 ละกันนะครับถ้ายังไม่เบื่อกันเสียก่อน
สมาชิกที่ไปครั้งนี้

ภาพนี้คือภาพที่ส่งไปประกวด

ชั้นอะไรจำไม่ได้แล้ว

นี้ก็จำไม่ได้ว่าชั้นอะไร

นอนแช่น้ำกันสมใจ

โดดน้ำเล่นสนุกสนาน

ด้านหลังมองเห็นเขื่อนศรีนครินทร์

เต้นที่มากางค่อนข้างน้อยเพราะมาลำบากผิดกับสมัยนี้

ตัวน้ำตกติดกับเขื่อนเลย

หินงอกที่บอกว่าคล้ายพระพุทธรูป