วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บันทึการเดินทาง ผาแง่ม ดินแดนสองฤดู 31/1/58

         ถ้ามีคนเอ่ยชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนามว่า "ผาแง่ม" ในฐานะที่ผมท่องเที่ยวภายในประเทศมาหลายปี เดินป่ามาหลายที่ ขอสารภาพตรงนี้เลยว่า ไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้มาก่อน ที่เคยจะคุ้นชื่อมาบางก็จะมีผาแง่มน้อยที่กิ่วแม่ปาน ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้ก็เข้าใจว่าเป็นสถานที่เดียวกัน แต่จริงๆแล้วเป็นคนละสถานที่กัน แต่อยู่ไม่ห่างกันมาก ตั้งอยู่ในเขตอช.ดอยอินทนนท์เหมือนกัน ผาแง่มหรือดอยผาแง่มได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผาสองฤดู ในความคิดแรกที่ได้ยินว่าผาสองฤดู ก็คิดว่ามันจะเป็นยังไงกัน หรือจะเป็นแบบป่าสองฤดูที่มีทั้งฤดูฝนและฤดูร้อนในวันเดียวกันรึป่าว ทำให้ผมเกิดความสนใจในสถานทีแห่งนี้ขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนรู้จักได้มีโอกาสไปสถานทีแห่งนี้แล้วโพสภาพลง Facebook ทำให้ผมเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น จึงไม่รอช้าหาข้อมูลพร้อมลงชื่อร่วมทริปทันที ตอนแรกตั้งใจจะลงชื่อไปคนเดียว แต่เห็นว่ายังไม่ครบ มีคนลงชื่อไปน้อยกลัวจะล้ม เลยลองชวนเพื่อนๆพี่ๆ ที่ทำงานโดยโพส Event  Facebook ลงใน Line Group ของกลุ่มเพื่อนที่บริษัท เลยได้สมาชิกมาร่วมการเดินทางอีก 2 คน รวมกับสมาชิกจากกลุ่มอื่น ได้ 10 คนพอดี เมื่อได้คนครบก็ Let Go!!!!

         ผมและเพื่อนอีก 2 คนขึ้นรถที่ มธ.รังสิต โดยอีก 8 คนที่เหลือ นัดขึ้นรถกันที่กรุงเทพ จริงๆตอนแรกถ้าไปคนเดียวก็กะจะขึ้นรถที่กรุงเทพเหมือนกัน แต่พอมีเพื่อนไปเลยทิ้งรถไว้ที่บริษัทแล้วไปขึ้นรังสิตดีกว่า ขากลับจะได้กลับมานอนที่โรงงานจะได้มีเวลานอนเพิ่มอีกหน่อยก่อนทำงาน วันเดินทางเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน + มีกิจกรรมการเดินเดินธุดงค์ของวัดแทบรังสิต ทำให้รถติดมากมาย นั่งแท๊กซี่จากโรงงานมาได้สักพักเจอรถติดกลัวจะไปไม่ทัน เลยบอกคนขับ "พี่ทางด่วนเลย ผมจ่ายเอง" (ป๋ามากกกก) เราไปถึง มธ ก่อนเวลานัดพอสมควรเนื่องจากหนีรถติดขึ้นทางด่วนมา รอรถอยู่ประมาณ เกือบชั่วโมงรถตู้ทะเบียน.......(จำไม่ได้) ก็มาจอด ยังไม่ทันที่พี่ช้างคนจัดทริปจะเปิดประตูลงมา โดยสัญชาติญาณผมรู้โดยทันทีว่า รถตู้คันนี้แน่นอน(ยิ่งว่าริวจิตสัมผัสอีก) พวกเรารีบแบกกระเป๋าอันแสนหนักเดินมาที่รถ จัดแจงเอาของขึ้นหลังรถ ยิ้มทักทายสมาชิกร่วมทริปเล็กน้อย เนื่องจากยังไม่รู้จักกันเลยแค่ยิ้มๆให้ หลังจากขึ้นรถมาได้ก็จัดแจงขยับซ้ายขยับขวาวางตัวหาที่เหมาะๆ เอาหูฟังเปิดเพลงใส่หู แล้วร่ำลาเพื่อนอีก 2 คนที่ไปด้วย "เจอกันตอนเช้านะ" แล้วค่อยๆหลับตา โดยมีเสียงเพลงค่อยกล่อม หลับๆตื่นๆตลอดทั้งคืน เพราะเป็นคนที่นอนบนรถไม่ค่อยหลับแต่ก็อาศัยหลับตาแล้วฟังเพลงเป็นการพักผ่อน(ดูเหมือนหลับแต่จริงๆไม่หลับนะ) รถวิ่งมาทางแม่ฮ่องสอน เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาเล่นเอามึนกันเลยทีเดียว ยิ่งนั่งข้างหลังขอบอกถ้าเป็นคนเมารถนี้มีอ๊วกแน่ เรามาถึงอ.จอมทองประมาณ6 โมงแวะซื้อของที่ตลาด(เขาลงไปซื้อกันแต่ผมขอนอนเอาแรง....คนอื่นดีกว่า อิอิ) จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ อช.อินทนนท์ เข้าสู่สถานีเกษตรขุนวาง

           จุดเริ่มเดินเท้าของผาแง่มจะเริ่มที่บริเวณสถานีเกษตรขุนวาง ระยะทางเดินเท้าประมาณ 3 กิโลเมตร ดูเหมือนจะไม่ไกลเท่าไร ก่อนหน้าที่จะมาหาข้อมูลมาว่าใช้เวลาในการเดินขึ้นผาแง่ม 3 ชั่วโมงกับระยะทาง 3 กิโลเมตร ในตอนนั้นบอกได้เลยว่า "เวอร์แล้ว 3 กิโล 3 ชั่วโมง" 3ชั่วโมงนี้ผมเคยเดินได้ 6-8 กิโลเลยนะ ขนาดไปเชียงดาวขึ้นทางเด่นหญ้าขัดระยะทาง 8 กิโลยังใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงกว่าเอง นี้แค่ 3 กิโลใช้เวลา 3 ชั่วโมงนี้เวอร์ไปแล้ว คิดในใจให้เต็มทีเดินสบายๆเรื่อยๆ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่ดูเหมือนคำที่เค้ากล่าวขานกันจะเป็นจริง เราใช้เวลาในการเดินขึ้นผาแง่ม 3 ชั่วโมงพอดีกับระยะทาง 3 กิโล สาเหตุที่ใช้เวลาเยอะเนื่องจากทางค่อนข้างชันถึงชันมาก ทางราบแทบไม่มีให้เห็น เดินไป 20 ก้าวพัก 10 นาที แถมแบกของมาเต็มกระเป๋าซะด้วยเพราะเห็นว่าเดินแค่ 3 กิโล รู้งี้น่าจะเชื่อพี่ช้างแต่แรก ของที่ไม่ได้ใช้ในทริปนี้ขนมาเพียบเลย เราขึ้นมาถึงจุดตั้งแคมป์ประมาณบ่ายโมง กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นมาถึงจุดกางเต้นท์(วันนี้มีกลุ่มอื่นขึ้นมาด้วยร่วมแล้วประมาณ 30 คน) ก็ตามแบบที่เขาบอก มาก่อนได้ก่อน เรามาถึงก่อนก็ยึดพื้นที่ทำเลดีสำหรับกางเต้นท์ได้ก่อน เรากางเต้นท์ใกล้ต้นไม้ใหญ่ทำให้มีที่ผูก Flysheet สำหรับที่ทำอาหารและที่กินข้าว ดูเหมือนจะดี แต่บริเวณที่เรายึดพื้นที่ลมแรงมาก ตอนกลางคืนลมพัดแรงตลอดคืนเลย ถ้าเต้นท์ไม่ตอกสมอบกนี้มีปลิวตกเขาแน่ อากาศด้านบนถ้าไม่มีลมอาจจะแค่เย็นๆออกหนาวนิดหน่อย แต่พอมีลมบอกได้เลยว่าหนาวฝุดๆ ตอนหัวค่ำวัดอุณหภูมิได้ 12 องศา ในใจคิดว่าคืนนี้มี ศูนย์องศาแน่ (ที่ไหนได้แค่ 9 องศา)

        หลังจากกางเต้นท์เสร็จ เนื่องจากพวกเราขึ้นมาถึงกันเร็ว บางส่วนก็พักผ่อนเอาแรง สาวๆในทริปก็ช่วยกันแสดงฝีมือความเป็นแม่บ้านแม่เรือนช่วยกันบรรเลงหั่นผักลงมือทำครัวกันอย่างสนุกสนาน เปรียบเหมือนสมาคมแม่บ้านทหารบกเลยก็ว่าได้ ผมได้แต่ส่งกำลังใจช่วยสาวๆ(แมนสุดๆ) สาวๆเตรียมเครื่องปรุ่งอาหารสำหรับมื้อเย็น พร้อมหั่นผักเตรียมเอาไว้ก่อน ตอนเย็นจะได้เอามาทำได้เลย มื้อเย็นเราได้ฝุ่นเป็นเครื่องเคี้ยง เพราะลมแรงมากพัดฝุ่นมาเป็นระยะๆ พอดีคนเดินผ่านหน้าแคมป์เราก็จะมีฝุ่นตามมาเป็นของแถม หลังจากเตรียมของทำอาหารเสร็จ สักประมาณ 4 โมงเราก็มุงหน้าขึ้นยอดดอยผาแง่มเพื่อไปไหว้พระธาตุขุนวาง และไปชมโครตสันคมมีด(เล่นเอาสันคมมีดเขาช้างเผือกกระจอกไปเลย) โครตสันคมมีดเป็นช่องทางเดินระหว่างเขากว้างประมาณศอก แล้วสองข้างเป็นหน้าผาสูง (ไม่ได้ข้ามไปนะเค้ากลัววว) บริเวณยอดดอยถ้าโชคดีเราจะเห็นผาสองฤดู คือถ้าหันหน้าเข้าสันคมมีดฝั่งซ้ายมือจะมีหมอกขึ้นเต็มจนมองไม่เห็นด้านล่าง แต่ขวามือจะไม่มีหมอกเลย เป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แต่พวกเราโชคไม่ค่อยดีเลยไม่ได้เห็นผาสองฤดู ฟ้าเปิดมองเห็นวิวสองข้างได้อย่างชัดเจน  บนยอดดอยเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นอย่างไม่น่าจะเกิด กล้องสุดLove เกิดการหลุดจากขาตั้งกล้องกระทบพื้นอย่างแรง เล่นเอากระบอกเลนส์แตกเห็นสายแพร่ข้างในเลย เศร้าสุดๆ (ในใจแอบคิดทำไมมันไม่หล่นให้กล้องมันตกหน้าผาไปเลยจะได้ซื้อกล้องใหม่ D750 จะได้ซื้อแล้วเชียว อดเลย) ทำให้เลนส์ตัวนี้ไม่สามารถโฟกัสได้ เอาภาพมาดูเบลอหมดเลย ดีที่รู้ตัวก่อนว่าภาพมันเบลอเลยเปลี่ยนเลนส์ตัวใหม่ไปใช้ ไม่งั้นอดได้ภาพสวยๆแน่ 
         มื้อเย็นพี่ช้างแสดงฝีมือทำอาหารให้พวกเรากิน มื้อเย็นมีไก่ผัดพริกขิง ยำกุนเชียง ไข่เจียว ต้มยำไก่ และกระเพาที่เหลือจากมื้อกลางวัน ข้าวที่หุ่งเย็นเจี๊ยบเหมือนหุ่งไว้เมื่อเช้าแล้วเอาไปแช่เย็น คงเป็นเพราะอากาศหนาว ยังดีที่ได้ต้มยำร้อนๆเอาไว้ซดน้ำให้อุ่น หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเย็นมีกิจกรรมสังสรรค์ ปาร์ตี้เหล้าบ๋วยแก้หนาว อุตสาแบกเหล้าบ๋วยจากข้างล่างขึ้นมา 2 กลม(ที่สถานีเกษตรจะมีจำหน่ายเหล้าบ๋วยที่ทางสถานีเกษตรทำขึ้นเอง แอลกอฮอล์ 25%) ไม่รู้ว่าอากาศหนาวหรือสมาชิกกระหาย เหล้าบ๋วย 2 กลมถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว ประดุจดั่งน้ำปล่าว มันหมดเร็วมากๆ เรียกว่ากินแทนน้ำเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะสาว.....(ตามจรรยาบรรณเราจะไม่เอ๋ยชื่อสมาชิก ขอใช้ชื่อว่านางสาว A...) เทอสดเหล๋าเหมือนอดยากมานาน จากสาวเงียบเรียบร้อยเมื่อได้ลิ้มรสสุราชั้นดี ของดีขึ้นชื่อแห่งขุนวาง เธอเปลี่ยนไป๋!!!!!! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ สาวเงียบกลายเป็นสาวสังคมพูดคุยกับทุกคนเหมือนเป็นเพื่อนสนิทรู้จักมานาน ทำให้บรรยากาศในงานปาร์ตี้สนุกสนานเป็นกันเองมากขึ้น ทำให้สมาชิกร่วมทริปได้รู้จักกันสนิทมากขึ้น ถ้าเธอไม่มาทริปนี้คงเงียบเหงา แต่ก็คงจะดีกว่านี้ถ้าเธอจิบแทนการซด จะทำให้เราได้ลิ้มรสสุราชั้นดีชื่นชมธรรมชาติได้นานมากขึ้น ประมาณ 3 ทุ่มหลังจากเหล้าหมดก็แยกย้ายกันไปนอน ตอนเช้าฟรีสไตล์ใครอยากขึ้นยอดหรือนอนต่อตามสบาย ผมตั้งใจจะตื่นขึ้นมาถ่ายทางช้างเผือกหลังจากที่ผิดหวังจากที่เชียงดาว กะว่าจะตื่นประมาณตี3 แต่พอถึงเวลาลุกออกมาดูลมแรงและอากาศหนาวมากขอนอนต่อดีกว่า ตื่นมาอีกที่ตี 5 แต่ยังคงมีความตั้งใจอยู่ กัดฟันหยิบกล้องลุยลมหนาวลุกออกมาจากเต้นท์ ลุยขึ้นมาเก็บภาพดาว มองซ้ายมองขวาดาวเต็มฟ้าเลย แล้วทางช้างเผือกอยู่ทิศไหนเนี้ย เค้าบอกถ้าจะหาทางช้างเผือกให้หากลุ่มดาวแมงป๋อง เพราะกลุ่มดาวแมงป๋องจะอยู่ใจกลางทางช้างเผือกพอดี แล้วตรงไหนละกลุ่มดาวแมงป๋อง สรุปหาไม่เจอ งั้นถ่ายไปก่อนแล้วกัน ถ่ายไปได้สักพักกดดูรูป ได้ภาพที่เป็นกลุ่มดาวคล้ายทางช้างเผือก "จะใช่ไหมว่ะ" ตัดสิ้นใจกดอีกรูป จนมั่นใจว่าใช่แน่นอน สรุปทางช้างเผือกจะขึ้นทางทิศตะวันออกในตอนประมาณตี5 เพราะที่เชียงดาวก็ขึ้นทิศตะวันออกเช่นกัน พอมั่นใจว่าใช่แน่นอนก็ตัดสิ้นใจลุยขึ้นไปยอดดอยคนเดียวตอนตี 5 ระหว่างทางเจอมุมเหมาะเลยกดไปหลายรูปอยู่เหมือน ถ่ายไปสักพักก็มีคนเริ่มทะยอยตามขึ้นมา ผมไม่ได้อยู่จนถึงพระอาทิตย์ขึ้นเพราะคิดว่าคงไม่ได้เห็นผาสองฤดูแน่ๆเลยลงไปข้างล่างก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น(ยังแอบเสียด้ายอยู่เลย) พอกลับลงมาข้างล่าง ดันลืมปิดเต้นท์ไว้ฝุ่นเต็มเต้นท์เลย ถุงนอนมีแต่ฝุ่น นอนต่อไม่ได้ซะแล้ว เลยเก็บภาพบรรยากาศรอบๆแคมป์ต่อแทนการนอนผักผ่อน พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้นสมาชิกก็ทะยอยลุกออกจากเต้นท์หยิบกล้อง หยิบมือถือมาเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น กันอย่างคึกคัก หลายคนมุ่งหน้าขึ้นยอดดอยแต่ผมขอตัวไม่ขึ้นเพราะเพิ่งลงมา  หลังจากเก็บภาพประทับใจกันจนจุใจ สมาชิกก็มารวมกลุ่มกันรับประทานอาหารเช้า มื้อเช้าเป็นผัดซี้อิ๋ว มื้อเช้าผมกินไม่เยอะเพราะปวด... หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเช้าก็จัดแจงเก็บเต้นท์ ระหว่างเก็บเต้นท์ มีหมอกพัดมาจากฝั่งขุนวางขึ้นมาปิดยอดดอย ทำให้เราได้เห็นผาสองฤดูสมใจที่อยากเจอ(แอบเสียด้ายไม่ได้ขึ้นยอดไปถ่ายที่สันคมมีดตอนเป็นผาสองฤดู) 
         ขาลงเราใช้คนละเส้นทางกับขาขึ้น ใช้เวลาเดินลงแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงจุดหมาย พอลงมาถึงขุนวางก็จัดแจงอาบน้ำหลังจากที่เมื่อคืนไม่ได้อาบ ที่ขุนวางมีน้ำร้อนให้อาบด้วย แต่น้ำร้อนมาก มีป้ายเขียนไว้ถ้าจะใช้น้ำร้อนให้เปิดก๊อกอย่างเดียวห้ามปรับ เราก็เชื่อฟังไม่ปรับความร้อน น้ำร้อนมากก น้ำเย็นก็ไม่มีผสมยอมอาบมันแบบร้อนๆนี้แหละ หลังจากอาบน้ำเสร็จ จัดแจงเก็บกระเป๋าสัมภาระ แล้วก็ขอตัวลงไปเก็บภาพนางพยาเสื้อโคร่งที่กำลังบานช่วงนี้ ซึ่งมีหลายคนทักแล้วว่ามันล่วงไปหมดแล้ว แต่เราก้ไม่เชื่อ แล้วเป็นไงละ น่าจะเชื่อเค้าดีกว่า นางพยาเสื้อโคร่งยังพอมีดอกบานแต่เหลือน้อยแล้วไม่ค่อยสวยอย่างที่คิด แถมต้องเดินลงไปไกลพอสมควรจากจุดจอดรถ ขากลับขึ้นมาเล่นเอาเหงื่อตกเลยทีเดียว เราออกจากขุนวางประมาณบ่ายโมง แวะทานเข้าที่กม31 ที่ทำการอุทยาน จากนั้นก็วิ่งยาวกลับกรุงเทพ แวะทานข้าวเย็นที่ตาก ถึงกรุงเทพประมาณเที่ยงคืน ทริปนี้ก็ได้มิตรภาพดีๆเช่นเคย
          เขาว่ากันว่า"คนที่รักธรรมชาติหรือชอบอะไรเหมือนๆกันเมื่อเจอกันมักจะเข้ากันได้ดี" แต่ผมว่า "เมื่อคนบ้าเหมือนกันมาเจอกันบวกสุราดีๆ มันก็มักจะเข้ากันได้ดีจริงไหมครับ".......

ภาพบรรยากาศทริปนี้
https://www.facebook.com/supawat.punnanon/media_set?set=a.922240454477191.1073741842.100000737362962&type=3