วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

CR ทะเลน้อยพัทลุง 3 วัน 2 คืน ไม่มีรถก็เที่ยวได้

         รีวิวนี้เป็นการให้ข้อมูล+บันทึกการเดินทางของผมเอง ทริปนี้เป็นทริปแบบไม่ได้ตั้งใจมันเกิดจาก ตอนแรกผมตั้งใจจะไปหลังสวนชุมพรกับ Trekkingthai ไปล่องแพนอนเกาะพิทักษ์ พักผ่อนสบายๆ  พอติดต่อจองทัวร์ปรากฎว่าเกิดเหตุเล็กน้อย คือที่วันเดินทางโดยเลื่อนออกไปเนื่องจากมีปัญหาเรื่องที่พักเล็กน้อย ซึ่งผมไม่สะดวกจะเดินทางในวันดังกล่าวทำให้ทริปนี้ต้องล่มไป จึงมาเป็นต้นกำเนิดของทริปพัทลุง-ทะเลน้อย

         การเดินทาง ก่อนไปได้ทำการหาข้อมูลการเดินทางเนื่องจากผมไม่ได้ไปรถส่วนตัว พบว่าการเดินทางไปทะเลน้อยสามารถเดินทางได้หลายวิธี
1.เครื่องบิน(ไม่มีตัง) ลงที่สนามบินหาดใหญ่ จากนั้นต่อรถประจำทางหาดใหญ่-พัทลุง มาลงที่ตัวเมืองแล้วต่อรถโดยสาร พัทลุง-ทะเลน้อย
2.รถไฟ(ประหยัด แต่ขึ้นรถไฟไม่ทันแน่ รถออกตั้งแต่ยังไม่เลิกงาน) สามารถลงได้ 2 สถานี คือสถานีรถไฟพัทลุง ที่สถานีจะมีรถโดยสารพัทลุง-ทะเลน้อย อีกสถานีที่ลงได้คือสถานีปากคลอง จะใกล้ทะเลน้อยมากกว่าสถานีพัทลุง ถ้าลงรถไฟสถานีปากคลองให้เดินออกมาจากสถานีประมาณ 100 เมตร แล้วข้ามถนนมารอรถพัทลุง-ทะเลน้อย(สายเดียวกับที่ลงสถานีพัทลุง) ถ้าลงสถานีปากคลองจะใช้เวลาเดินทางไปทะเลน้อยประมาณ 15-20 นาที แต่ถ้าลงพัทลุงจะประมาณ 1-2 ชั่วโมง อันนี้แล้วแต่สะดวก(ถ้าแนะนำ ลงปากคลองดีกว่าเดินทางใกล้กว่ากันเยอะประหยัดเวลา)
3.รถทัวร์โดยสาร คล้ายๆกับรถไฟคือลงได้ 2 ที่คือสถานีขนส่งพัทลุง แล้วต่อรถพัทลุง-ทะเลน้อย อีกที่คือให้ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง แล้วเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกข้ามถนนจะมีศาลาพักผู้โดยสารให้รอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ถ้าลงแยกโพธิ์ทองจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงทะเลน้อย

         เนื่องจากไม่ได้ไปรถส่วนตัวผมจึงเลือกเดินทางแบบที่ 3 ใช้บริการรถโดยสาร กรุงเทพ-หาดใหญ่ เที่ยว 3 ทุ่มของวันที่ 30 เมษายน ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมง(นานมากก) ลงที่สี่แยกโพธิ์ทอง ผมไม่เคยไปพัทลุงมาก่อนนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้จุดลงรถแยกโพธิ์ทองว่าอยู่ตรงไหน บอกเด็กรถไว้แล้วว่าลงแยกโพธิ์ทองแต่ก็กลัวเด็กรถจะลืม ผมเลยมีทริกเล็กน้อยใครจะเอาไปใช้ก็ได้นะ ผมรู้ว่ารถใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมงจะถึงพัทลุงประมาณ 9 โมง ผมตื่นตอนประมาณ 8.30 เมื่อรู้ว่าใกล้ถึงแล้วผมใช้วิธีเปิด GPS ดูว่ารถถึงไหนแล้วและอีกไกลไหมจะถึงแยกโพธิ์ทอง แค่นี้ก็รู้จุดลงรถแล้ว แต่จะให้ง่ายกว่านั้นถามคนที่นั่งข้างๆ กรณีที่คนข้างๆเป็นคนพื้นที่นะ ผมมาถึงแยกโพธิ์ทองประมาณ 9.00 น. ถ้าเราเดินเลยแยกไปหน่อยประมาณ 100 เมตรจะมีปั้มปตท มี 7-11 จัดแจงล้างหน้าแปรงฟันหาอะไรลองท้องที่ 7-11 แล้วค่อยออกเดินทาง ก่อนถึงปั้ม ปตท จะมีร้านติ่มซำ เห็นคนเยอะอยู่น่าจะอร่อย ครั้งนี้ไม่ได้ใช้บริการเอาไว้ครั้งหน้าแล้วกัน หลังจากที่ทำธุรส่วนตัวเสร็จ ผมเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกโพธิ์ทองเพื่อรอรถพัทลุง-ทะเลน้อย ค่าโดยสาร 30 บาท นั่งรถไปลงสุดสาย ถ้าคนขับรถไม่ไล่ก็ไม่ต้องลง ท่ารถจะอยู่ก่อนถึงทะเลน้อยเล็กน้อย ถ้าเราไม่ลงท่ารถรถจะวิ่งต่อไปอีกหน่อยจนถึงทะเลน้อย สังเกตุป้ายเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ถ้าเจอแสดงว่าถึงแล้ว
         ที่พัก บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จะมีรีสอร์ทให้บริการค่อนข้างเยอะสามารถเดินWalkin เข้าไปถามได้ไม่ห่างจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเท่าไร ราคาอยู่ในช่วง 400-800 บาท เนื่องจากไม่ได้มารถส่วนตัวจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก  ก่อนมาผมทำการบ้านมาก่อนเล็กน้อย ผมจองที่พักของ "ชวนชม-รีสอร์ท"คืนละ 800 บาทห้องแอร์ พร้อมอาหารเช้า ที่จองที่นี้เพราะเหตุผลเดียวเลยคือมีจักรยานให้บริการฟรี แถมเจ้าของยังน่ารักมากช่วยหาข้อมูลการเดินทางโดยรถโดยสารให้ผมพร้อมเลย  ผมจองไว้ 1 คืนเพราะตอนแรกกะนอนคืนเดียว พอจะนอนเพิ่มอีกคืนปรากฎว่าที่พักเต็มแล้ว เจ้าของน่ารักสุดๆ หาที่พักอีกคืนให้ผมแถมให้จักรยานไปใช้ฟรีอีก 1 วันด้วย ใครไปทะเลน้อยพักที่นี้ไม่ผิดหวังแน่นอน
ชวนชมรีสอร์ท ที่ผมพักห้องสะอาดแอร์เย็น เงียบประทำใจสุดๆ

อาหารเช้าที่รีสอร์ทให้บริการ


          โปรแกรมเที่ยวของผม ผมตั้งเป้าจะไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ(ไปดูควายน้ำ), ปากประ(ไปดูยอ), ล่องเรือชมทะเลบัว หลังจากมาถึงที่พักเก็บของเสร็จผมออกมาเก็บภาพเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยก่อนเลย เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากที่พักสามารถเดินมาได้จากที่พัก แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่ที่ไม่ร้อนมากเนื่องจากมีลมพัดโกรกตลอด ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท กรณีมาคนเดียวเจ้าหน้าที่ให้เข้าฟรีไม่เก็บค่าเข้า จะเก็บกรณีที่มาเป็นหมู่คณะ ที่นี้มีบ้านพักสามารถติดต่อจองเข้าพักได้
พระตำหนักที่พระเทพเสด็จในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย

          เสร็จจากเขตห้ามล่าสัตว์ทะเลน้อยเกือบเที่ยง แวะหาข้าวกินแล้วกลับไปนอนที่รีสอร์ท(แดดแรงมาก) รอแดดร่มๆ ค่อยปั่นไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ ระยะทางจากทะเลน้อยไปสะพานเฉลิมพระเกียรติประมาณ 8 กิโลเมตรใช้เวลาในการปั่นประมาณ 20-30 นาที ผมไม่ได้ใช้เส้นทางหลักเพราะได้คำแนะนำให้ใช้อีกเส้นจะใกล้กว่า โดยเลยจากเขตห้ามล่าสัตว์ป่าจะมีซอยเล็กๆ ปั่นเข้าไปตามทางในซอยจะไปโผล่ที่ร้านอาหารสามกั๊ก ตัดเข้าถนนสายหลักที่จะไปสะพาน โดยถ้าไปทางซ้ายมือจะไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ ถ้าไปทางขวามือจะไปตัดเข้าถนนที่ไปปากประ ผมออกจากที่พักประมาณบ่ายสามครึ่ง ไปถึงสะพาน สี่โมงร้อนมากสู้แดดไม่ไหว ปั่นไปดูควายเล่นน้ำเสร็จก็ปั่นกลับ เพื่อมาเก็บภาพแสงเย็นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า

จักรยานที่รีสอร์ทให้ยืมไม่ใช่แบบจักรยานแม่บ้านนะครับ เปลี่ยนเกียร์ได้นะขอบอก

แดดแรงจริงๆ 





ควายที่ชาวบ้านปล่อยเลี้ยง




สุดท้ายกลับมาเก็บแสงเย็นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า

         จบวันแรก โปรแกรมวันที่ 2 ตอนเช้าตั้งใจจะไปถ่ายยอที่ปากประระยะทางประมาณ 15 กิโลจากทะเลน้อย ประมาณเวลาในการปั่นประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากหมดเบียร์2กระป๋อง จัดแจงตั้งนาฬิกาปลุก ตีสี่ครึ่ง แล้วล้มตัวลงนอน หลับสนิทเพราะเหนื่อยจากการปั่นจักรยานกลางแดด(ปกติไม่ได้ปั่นจักรยานประจำอยู่แล้วอย่างมากก็ปั่นอยู่ในโรงงาน)  เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น จัดแจงขยับตัวลุกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัว อาบน้ำแปรงฟันเตรียมตัวออกเดินทางไปปากประ ออกจากรีสอร์ทประมาณตี 5 ใช้เส้นทางเดิมที่ไปสะพานเมื่อวาน โดยพอถึงร้านสามกั๊กแทนที่จะไปทางซ้ายก็ให้เลี้ยวไปทางขวาแทน เส้นทางไปปากประค่อนข้างมืดมีไฟทางเป็นระยะ ถ้าใครจะปั่นไปแนะนำติดไฟฉายไปด้วยจะดีมาก ปั่นตามทางไปเรื่อยๆเลยสวนพฤษศาสตร์ไปไม่ไกลก็จะถึงสะพานปากประที่คนนิยมไปถ่ายภาพยอกัน อ๋อแนะนำติดน้ำไปด้วยนะครับ ระหว่างทางไม่มีร้านขายน้ำเลย เมื่อวานปั่นไปสะพานไม่ได้เอาน้ำไปดีนะมันไม่ไกลมาก



วิถีชาวบ้านใช้ยอในการหาปลา

         ใกล้ๆสะพานประปาจะมีรีสอร์ทชื่อศรีปากประ บรรยากาศดี เจ้าของก็ใจดี ผมไม่ได้พักที่นี้เขาก็ยินดีให้ผมเข้าไปถ่ายรูป ที่ศรีปากประจะเป็นวิวที่มองเห็นยอได้ชัดเจน เป็นวิวที่สวยมาก ที่นี้เป็นร้านอาหารด้วยชื่อร้านวิวยอ ใครจะมาพักที่นี้แล้วไม่มีรถส่วนตัวเจ้าของศรีปากประแนะนำให้มาเครื่องบินแล้วลงที่สนามบินตรัง จะมีรถตู้วิ่งตรัง-ระโนด-สงขลา จะผ่านข้างรีสอร์ท ขากลับแวะที่สวนพฤษศาสตร์นิดหน่อย
 ศรีปากประ

บรรยากาศภายในร้าน/รีสอร์ท

         กลับมากินอาหารเช้าที่รีสอร์ทก่อนจะเก็บของเตรียมย้ายที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมเท่าไรประมาณ 50 เมตร แวะไปถามรีสอร์ทใหม่ปรากฎว่ายังเก็บห้องไม่เสร็จผมเลยฝากของเอาไว้ที่ชวนชมรีสอร์ทก่อน แล้วไปล่องเรือชมทะเลบัว ที่ทะเลน้อยมีเรือให้บริการชมทะเลน้อยราคาเหมาลำละ 450 บาท ผมไปคนเดียวเลยต้องเหมายกลำ ผมใช้บริการเรือของรีสอร์ทสอยดาว เพราะอยู่ใกล้ๆกับที่พัก เรือให้บริการจะมี2แบบ แบบเป็นคิวเรือกับแบบของรีสอร์ทเอง ราคาเท่ากัน เรือจะพาไปชมบัวแดง แล้ววิ่งไปจนถึงสะพานเฉลิมพระเกียรติแล้ววนกลับมา ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง สามารถบอกเรือให้จอดถ่ายรูปจุดที่น่าสนใจได้ ตอนแรกสอบถามรีสอร์ทว่าเรือไปถึงปากประได้ไหม รีสอร์ทบอกว่าไปได้แค่สะพาน ก็เลยตกลงเหมาไปชมแค่บัวแดง แต่ลองถามลุงคนขับเรือว่าไปถึงปากประได้ไหมอยากไปถ่ายยอแบบใกล้ชิด ลุงบอกไปได้ แต่ต้องไปตอนเช้าก่อนที่ลมจะมาเพราะถ้าลมมาจะมีคลื่นอันตราย เอาแล้วไงพลาดนึกว่าเรือไม่ไปปากประ เหมาไปแล้วด้วย เอาวะไหนๆมาแล้วยอมจ่ายอีกเพิ่ม 450 นัดลุงพรุ่งนี้ตี 5 ไปปากประอีกรอบ วันนี้ออกมาสายไปหน่อยบัวเริ่มหุบแล้ว เวลาที่เหมาะแก่การชมบัวจะอยู่ในช่วง 7.00-10.00 เวลาที่เหมาะที่สุดน่าจะประมาณ 7 โมงเช้าเพราะแดดไม่ร้อน วันนี้ก็เลยเก็บภาพนกไปแทน ได้บัวมาอีกนิดหน่อย
มีเรือให้บริการตลอดทั่งวัน

ออกเริอไปชมบัวแดง

นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาชมบัวแดงตลอดทั่งวัน

นั่งเรือชมวิถีชาวบ้าน

ออกมาสายไปหน่อยไม่มีบัว แต่ฟ้าสวยมากเลยเก็บฟ้ามาแทน

         ล่องเรือกลับมาเสร็จ แวะไปถามรีสอร์ทว่าเช็คอินได้รึยัง หาคนไม่เจอเอาไงดี เลยแวะไปจองตั๋วร์รถไฟขากลับแล้วกัน ใช้บริการวินรถมอเตอร์ไซด์ 60 บาท ขี้เกียจเดินไปขึ้นรถสองแถวที่คิว  ไปสถานีรถไฟปากคลอง จองตั๋วร์รถไฟได้ขบวน 170 ยะลา-กรุงเทพ เวลาออกจากปากคลอง 16.30 ถึงกรุงเทพ 9.00 หลังจากได้ตั๋วเดินออกมาหาอาหารกลางวันกิน บวกกับรอรถสองแถวกลับทะเลยน้อย จากสถานีรถไฟปากคลองไปทะเลน้อยรถสองแถวราคา 20 บาท กลับมาถึงทะเลน้อยรีสอร์ท เก็บห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยแวะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่ชวนชมรีสอร์ทมาที่พักใหม่ เก็บของเสร็จก็นอนเอาแรง ตอนเที่ยงแดดแรงออกเที่ยวไม่ไหว ตอนเย็นกะจะไปสะพานอีกรอบแต่คร่าวนี้กะไปเย็นๆหน่อยสัก 4 โมงครึ่ง หลับเอาแรงตื่นมาตอนบ่ายสาม ไม่รู้จะทำอะไร เลยเอาจักรยานถีบไปชมวิวที่หอชมวิวทะเลน้อย ห่างจากที่พักประมาณ 1 กิโล มองเห็นได้ไกลๆจากที่พัก
หอชมวิวเปิดให้ขึ้น 2 เวลา 8.00-12.00 และ 13.00-18.00

ภาพจากด้านบนหอชมวิว

         ประมาณ 4 โมงครึ่ง ออกจากหอชมวิวปั่นลุยไปสะพานเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวานปั่นไปได้แค่ครึ่งทางไปไม่สุดสะพานวันนี้เลยกะจะปั่นไปเรื่อยๆจนสุดทาง สะพานเฉลิมพระเกียรติเชื่อมระหว่างอ.ขวนขุน จ.พัทลุงกับ อ.ระโนด จ.สงขลา เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย(จำไม่ได้ว่าระยะทางกี่กิโล) ถ้าใครมาสังเกตุดีๆจะมีบันไดไม้ที่ชาวบ้านเอามาพาดไว้สำหรับลงไปหาปลา เราสามารถลงไปด้านล่างได้ ผมใช้เป็นที่หลบแดดระหว่างรอแดดร่ม สุดท้ายก็ปั่นไปจนถึงสุดสะพาน เย็นๆจะมีนักปั่นในพื้นที่ออกมาปั่นก็ไม่ต้องกลัวเหงา ใครจะเก็บภาพพระอาทิตย์ตกที่นี้ก็ได้นะสวยเหมือนกัน แต่ควรกลับก่อน6โมงครึ่งนะครับ เพราะทางที่มาสะพานยังไม่มีไฟถนน ถ้ากลับค่ำจะอันตราย
ปั่นมาจนสุดทาง อ.ระโนด


ตั้งกล้องบนขอบสะพานไม่ได้เอาขาตั้งไป



เก็บแสงเย็นบนสะพาน

          ตอนเย็นนัดแนะลุงคนขับเรือ เจอกันตี5 พรุ่งนี้เช้า ตั้งปลุกตี 4 ครึ่งเหมือนเดิม ระยะเวลาการเดินทางไปปากประทางเรือใช้เวลาประมาณ 40 นาที แนะนำถ้าอยากไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นควรออกไม่เกินตี 5 ครึ่ง ขอบอกว่าคุ้มค่ามาก สวยจริงๆภาพยอตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้น ได้ชมวิถีชาวบ้าน ขากลับดอกบัวกำลังบานพอดีได้เก็บภาพบัวอีก กลับมาจ่ายลุงไป 500 ทิปลุงไป 50 บาท ถ้าตอนแรกรู้ว่าเรือไปถึงปากประจริงๆนั่งแค่ช่วงเช้าก็พอได้ทั้งภาพยอ และบัวแดง













          วันสุดท้ายแล้ว เช็คเอ้าออกจากรีสอร์ท 10 โมงแต่ฝากกระเป๋าไว้ก่อน ออกไปนั่งฆ่าเวลาที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ระหว่างที่รอก็ถือโอกาสเก็บภาพนก เล่นซะเมมเกือบเต็ม สักบ่ายสามก็กลับมาเอากระเป๋านั่งวินมอเตอร์ไซด์ไปสถานีรถไฟ กะว่ารถไฟจะมาไม่เลทมากจะได้เก็บภาพแสงเย็นบนรถไฟ ตามกำหนดการณ์รถไฟต้องมา 16.30 แต่มันมาเลท ฝนก็ตก ไฟสถานีก็ดับ กว่าจะมาถึงปาเข้าไป 19.00 นั่งตู้นอนไปดีหน่อยจะได้หลับสบายๆ มาถึงสถานีบางซื่อ 10 โมง ชั่งเป็นการนั่งรถที่ยาวนานจริงๆ 15 ชั่วโมง ใครไม่อยากใช้บริการรถไฟ ตรงปากทางสี่แยกโพธิ์ทองผมเห็นมีที่ขายตั๋วร์รถทัวร์กรุงเทพ ยังไงลองถามคนที่นั้นดูได้นะครับ รึจะนั่งรถไปขึ้นรถทัวร์ที่พัทลุงก็ได้ เผือจะแวะเที่ยวเขาทะลุ ทริปนี้ก็จบลงด้วยดี ถ้ามีโอกาสผมคงจะกลับไปใหม่แน่นอน

https://www.facebook.com/chuanchomthalenoi?fref=ts Facebook ของชวนชมรีสอร์ทเผื่อใครสนใจรับรองประทับใจแนะนอน