วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

เดินป่าข้ามปีจากม่อนทูเลสู่ม่อนคลุย (31 ธ.ค. 58 ถึง 2 ม.ค. 58)

         ปีที่แล้วช่วงปีใหม่ได้มีโอกาสไปทริป ดอยหลวงเชียงดาว กับTrekkingthai แล้วค่อนข้างประทับใจ ปีนี้เลยสานต่อกับทริป ม่อนทูเล-ม่อนคลุย ขอแนะนำสถานที่ให้รู้จักกันก่อนนะครับ

          ม่อนทูเล ชื่อนี้ผมได้ยินมานานแล้วแต่ยังไม่เคยได้ไปสัมผัสสักครั้ง ม่อนทูเลอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก แม้จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมย แต่ทางอุทยานให้ อบต.ท่าสองยางเป็นคนดูแลจัดการ การเดินทางต้องใช้การเดินเท้าเพื่อพิชิตยอดดอยทูเล กับระยะทาง 7.5 กิโลเมตร เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางชันสลับทางราบเล็กน้อย (หนักไปทางชัน 90%) มีคนจัดอันดับความถึก(Baffelo Degree)ของมันอยู่ที่ ระดับ 3.5 ซึ่งสูงกว่าภูกระดึง, ภูสอยดาว หรือแม้กระทั้ง ดอยหลวงเชียงดาว จุดที่น่าสนใจของม่อนทูเลจะเป็นบริเวณจุดกางเต้นท์ ซึ่งจะเป็นทุ่งหญ้าสีทอง มองเห็นวิวภูเขาสลับฟันปลา เรียงกันอย่างสวยงาม

         ม่อนคลุย อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่เมยเช่นกัน ม่อนคลุยสามารถเดินทางไปได้ 2 วิธี คือเดินจากม่อนทูเล ตามสันเขากับระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร หรือสามารถเดินทางได้โดยรถยนต์(ควรเป็นรถกระบะ) ลักษณะม่อนคลุยจะคล้ายๆม่อนทูเล แต่จะเป็นพื้นที่โล่งกว่า มองเห็นวิวภูเขาและทะเลหมอกได้จากหน้าเต้นท์โดยไม่ต้องลุกออกมาจากเต้นท์ แต่คนค่อนข้างจะพลุพลาน ในเมื่อรถถึงทำไมต้องเดิน ? ไม่รู้จะเข้าข้างตัวเองเกินไปรึป่าว แต่ผมคิดว่าเสน่ห์ของทริปนี้อยู่ที่การเดินจากม่อนทูเลมาม่อนคลุย นอกจากเราจะได้เห็นวิวสองข้างทางที่สวยงาม มันยังได้มิตรภาพดีๆเกิดขึ้นระหว่างทางด้วย และที่สำคัญสุดมันเอาไว้โอ้อวดคนอื่นได้ว่า กูไปมาแล้วววววว

         ทริปนี้มีสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมทั้งสิ้น 19 คน มีทั้งมาเป็นคู่ มาแบบแพ็คสาม หรือมาเดี่ยวๆเพื่อนไม่คบแบบผม แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ผมเชื่อว่าคนที่ชอบเที่ยวลักษณะนี้มันจะเป็นคนประเภทเดียวกัน ชอบอะไรคล้ายกัน ซึ่งก็ไม่รู้จะนิยามคนประเภทนี้ว่าอย่างไร ช่วงแรกอาจจะยังไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างมา นั่งรถไม่พูดไม่คุยกัน แต่พอผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน มิตรภาพก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น หลายๆคนที่มาเที่ยวประเภทนี้มักจะได้มิตรภาพดีๆกลับไป หลายๆคนที่ผมรู้จักมักไม่จบกันแค่ทริปนี้ทริปเดียว เชื่อเถอะมีนัดกันไปทริปต่อไปแน่นอน

          เราออกเดินทางด้วยรถตู้ 2 คัน ออกเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ รถค่อนข้างเยอะ หลับๆตื่นๆในรถตู้ไปตลอดทาง รถตู้มาจอดที่อบต.ทางสองยางประมาณ 6 โมงเช้า พอมาถึงต่างคนต่างจัดแจงสัมภาระแยกเอาของที่ไม่จำเป็นทิ้งไว้ในรถตู้ แต่งองค์ทรงเครื่องในชุดพร้อมออกรบ ทริปนี้ผมแบกกระเป๋าหนัก 12 กิโล + กระเป๋ากล้องอีก 2 กิโล รวมเบ็ดเสร็จ 14 กิโล (ไม่รู้จะแบบอะไรไปนักหนา นี้จะไปเที่ยวต่างประเทศหรือไปเดินป่ากันแน่ กลับมายังไม่รู้เลยว่า 14 กิโลนี้มันหนักอะไร) หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จ เราต้องย้ายตัวจากรถตู้มาขึ้นรถกระบะ มุ่งหน้าสู่จุดสตาร์ท ที่จุดสตาร์ทมีลูกหาบคอยพวกเราอยู่ จัดแจงแบ่งของกองกลางให้ลูกหาบ ใครอยากสบายเดินตัวเปล่าสามารถใช้บริการลูกหาบได้ เอาของติดตัวไปเฉพาะ น้ำกับอาหารกลางวันพอ อ๋ออย่าลืมพกโทรศัทพ์ติดไปถ่ายเซลฟี่อัพเฟสแชร์โลเคชั่น ให้เพื่อนอิจฉาด้วยนะ ระหว่างทางมีสัญญาณโทรศัพท์เป็นช่วงๆ(True เยอะสุด Dtac ประมูล 4 Gไม่ได้เลยไม่ค่อยมีสัญญาณ)
จุดออกสตารท์

          ช่วงแรกของการเดินทางจะเดินผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน ซึ่งจะมองเห็นจุดหมายปลายทางของเราอยู่ไกลๆ ซึ่งก็ไม่ทำให้ผมท้อเพราะเพิ่งเริ่มเดินยังไม่ทันเหนื่อยเลย 55555 หลังจากผ่านทุ่งนาของชาวบ้านทางเดินเริ่มชันขึ้น 45 อาศา ช่วงแรกยังเดินเกาะกลุ่มกันดี พอผ่านไปสักพักเริ่มแบ่งพักแบ่งพวกแบ่งชนชั้นกัน พวกแรกผมขอเรียกว่าพวกถึกเดินตามควาย เดินกันเอาเป็นเอาตายกลัวตามควายไม่ทัน พวกต่อมาเป็นพวกเรื่อยๆสายเซลฟี่เดินเรื่อยๆไม่รีบ เจอะอะไรสวยก็จะถ่ายเซลฟี่เก็บไว้ สุดท้ายพวกสายอ่อนเดินช้าหน่อยแต่กำลังใจเต็มร้อย ผมจัดอยู่ในสายถึกไล่ตามควายกลัวควายหาย หลังจากผ่านทางชัน45 องศา ก็พอมีทางราบให้เห็นบ้างให้พอมีกำลังใจ เดินไปได้สักพักเราจะเดินตัดลงหุบ ซึ่งภายในหุบจะมีแหล่งน้ำธรรมชาติเอาไว้ให้ดื่มดับกระหาย ใครน้ำหมดสามารถเติมได้จาก น้ำในธรรมชาติสะอาดปราศจากสารเคมี เราพักกินข้าวกลางวันกันตรงนี้ หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารกลางวันเสร็จ ฝันร้ายของจริงก็เริ่มขึ้น ทางต่อจากนี้ไปถือเป็นของจริงที่ผ่านมาถือว่าซ้อมมือ จากนี้ไปจะเป็นทางชันแบบชันมาก จาก 45 องศาค่อยๆปรับเป็น 60 องศา (Slop ค่อยๆเข้าใกล้ 1 ขึ้นเรื่อยๆ) จนถึงช่วงสุดท้ายเรียกว่าชันระดับ 80 องศาก็ว่าได้ มีเชือกเอาไว้ให้ปืนขึ้นเป็นระยะๆ ช่วงนี้ถือว่าโหดพอสมควรเล่นเอาพี่ตะคิวถามหากันเป็นแถวๆ ผมก็เป็นคนนึงที่โดนพี่ตะคิววิ่งเข้าใส่ ยึดขาตึงเมื่อไรพี่เขามาหาแน่นอน เรามาถึงจุดกางเต้นท์ประมาณ 14.00 น ใช้เวลาเดินเท้า 5 ชั่วโมงถือว่าเร็วพอสมควร ไม่รู้จะรีบเดินไปไหนมาถึงแดดก็ร้อนลูกหาบก็ยังมาไม่ถึง แต่โชคดีที่บ้าพลังแบกเต้นท์ขึ้นมาเองเลยกะจะกางเต้นท์นอนเล่นให้คนอื่นอิจฉา แต่ก็ไม่เป็นดังที่คิดไว้แดดแรงมากเต้นท์นอนไม่ได้ร้อนมาก รอไม่นานสมาชิกที่เหลือพร้อมพวกลูกหาบก็มาถึง เราช่วยกันกางเต้นท์ ทำแคมป์กลาง หลังจากนั้นก็ฟรีสไตล์ตัวใครตัวมัน ใครใคร่นอน นอน ใครใคร่กิน กิน ใครมีแรงเหลือเชิญขึ้นจุดชมวิวห่างไปอีก 100 เมตร
ช่วงแรกเดินผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน

มองเห็นยอดทูเลอยู่ไกล


          ยามเย็นเวลาแสงพระอาทิตย์ตกกระทบผิวหญ้า มองดูเหลืองอร่ามไปทั้งภูเขา เหมือนอยู่ในภูเขาทองคำ ทริปนี้ไม่ได้มีโอกาศขึ้นไปยอดดอย เพราะได้ฟังมาจากคนที่มาก่อนหน้าว่าข้างบนยอดไม่ค่อยสวย ต้องใช้เวลาเดินขึ้น+เดินลง เป็นชั่วโมง พอได้ฟังดังนั้น ก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก เหนื่อยแค่นี้พอแล้วเก็บแรงไปเหนื่อนต่อที่ม่อนคลุยดีกว่า หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าความเย็นก็เข้ามาเยือน อากาศบนม่อนทูเลเย็นสบายไม่หนาวจนเกินไป แหล่งน้ำด้านบนยังพอมีแม้จะไม่มากนัก แต่ก็พอมีให้ใช้กันอย่างทั่วถึง วันที่เราไปกางเต้นท์มีประมาณ4-5 กลุ่มขึ้นมากางเต้นท์ ก็แยกย้ายกันไปกางเต้นท์ตามจุดต่าง ซึ่งก็ไม่แออัดมากนัก หลังจากชมพระอาทิตย์ตก ก็มาถึงมื้อเย็น มื้อนี้ถือเป็นการฉลองวันสิ้นปีต้อนรับเข้าสู้ปีใหม่ อาหารถูกกำจัดหมดไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง แต่อร่อยทุกอย่าง ตบท้ายมื้อเย็นด้วยของหวานสุดหรูหรา แพนเค้กลาดน้ำผึ้งใส่กีวี่ของหวานสุดฟินบนยอดดอย พอฟ้าเริ่มมืดแสงดาวบนท้องฟ้าเริ่มปรากฎ ดาวบนท้องฟ้าละลานตา กลุ่มดาวน้อยใหญ่เต็มทองฟ้าไปหมด เสียด้ายไม่มีความรู้เรื่องกลุ่มดาว ไม่งั้นคงได้นอนนับดาวแทนการเคาท์ดาวน์ปีใหม่แน่นอน ผมมีโอากาสได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้า เลยจัดแจงหยิบกล้องตัวโปรด เดินขึ้นจุดชมวิวเล็งหาช้างบนท้องฟ้า แต่เป็นที่น่าเสียด้ายช่วงนี้ช้างขี้อายแอบหนีลงไปกินน้ำ ทำให้ถ่ายมาได้แค่หางช้าง บวกเฆมเจ้ากรรมบังซะเกือบไม่เห็นหางช้าง แต่ก็พอได้ภาพมาบ้าง หลังจากสนุกสนานกับการล่าช้างบนท้องฟ้า ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินตามควาย แสงไฟในแคมป์ถูกดับลงอยากรวดเร็วเหลือไว้เพียงสมาชิกไม่กี่คนที่รอเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ แต่สำหรับผมขอราตรีสวัสดิ์ ฝากให้สมาชิกร่วมทริปช่วยปลุกตอนเช้าขึ้นไปถ่ายดาว
มาเป็นคู่

มาแพ็คสาม


มาคนเดียวเพื่อนไม่คบ

          ตีห้าครึ่ง เสียงเรียกดังออกมาจากนอกเต้นท์ "พี่ตื่นรึยังครับ ลุกไปถ่ายดาวกันไหม" ผมลุกขึ้นอย่างสะลึมสะลือ หยิบกล้องตัวที่ถ่ายช้างเมื่อคืน ลุกฝ่าความหนาวออกจากเต้นท์ แสงพระจันทร์สว่างจนแทบไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายส่องนำทางขึ้นไปยังจุดชมวิว แม้จะเป็นเวลาตี5 แต่ท้องฟ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยแสงดาว ขณะกำลังเก็บภาพแสงดาวตอนเช้า มองไปยังเต้นท์ของคณะอื่น เริ่มมีคนลุกออกมาจากเต้นท์ หยิบไฟฉายเดินมุ่งตรงไปยังยอดดอย มองเห็นแสงไฟทอดยาวเป็นเส้นไปยังยอดทูเล ผมถ่ายภาพเก็บบรรยายกาศไปเรื่อยๆ จากสมาชิกไม่กี่คน ก็เริ่มมีสมาชิกคนอื่นทยอยขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นกันมากขึ้น ไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มขยับขึ้นเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนแบบไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาก่อน มีคนบอก "พระอาทิตย์ขึ้นที่ไหนก็เหมือนกันนั้นแหละยังไงมันก็พระอาทิตย์ดวงเดิม" มันก็อาจจะจริงแต่มันจะไม่เหมือนกับพระอาทิตย์ที่อื่นตรงที่ มันมีเรื่องราวและความทรงจำที่แตกต่างกัน พระอาทิตย์ตกที่กรุงเทพอาจเป็นปกติที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่พอมายังสถานที่ใหม่บรรยากาศใหม่ บวกกับความเหนื่อยยากที่กว่าจะมาถึง ผมก็สามารถบอกได้ว่าพระอาทิตย์ตกแต่ละทีไม่เหมือนกัน ความทรงจำและเรื่องราวมันต่างกันแม้จะเป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกันก็ตาม
หางช้าง

ตีห้าบางกลุ่มเดินขึ้นยอดดอย


          หลังจากที่ชมความงามของพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกกันอย่างจุใจแล้ว เราก็ลงมากำจัดอาหารเช้าให้ราบเรียบ จัดแจงเก็บเต้นท์เก็บของยัดใส่กระเป๋า มองนาฬิกาดูฤกษ์งามยามดี ออกเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไปในวันนี้ ม่อนคลุย วันนี้เราต้องเดินไกลกว่าเมื่อวานเล็กน้อย แต่ทางเดินจากง่ายกว่าเดิม เดินตามสันเขาที่เรามองเห็นเมื่อวาน จากม่อนทูเลไปม่อนคลุยบอกได้เลยว่ามีแต่ขึ้นสุดแล้วก็ลงสุด เริ่มจากช่วงแรกเป็นทางขึ้นเขาระยะทางไม่ไกลมากนัก จากนั้นก็ตัดลงเขาอย่างเดียวเลย จนมาถึงจุดแวะพักเติมน้ำ เป็นลำธารน้ำใสๆไหลเย็นให้พอล้างหน้าให้ชื้นใจ ตอนขาลงก็คิดในใจทำไมมันลงอย่างเดียวเลย ไม่อยากคิดเลยว่าขาขึ้นจะเป็นอย่างไร จากจุดแวะพัก ทางข้างหน้าไปทางชันระดับ 80 องศาเหมือนช่วงสุดท้ายของเมื่อวาน แต่ระยะทางไม่ไกลมาก แต่เหนื่อยเอากาลเหมือนกัน แต่ขอบอกพอขึ้นมาถึงยอดแล้วถึงกับหายเหนื่อยกันเลยที่เดียว มองเห็นวิวภูเขาทอดยาวเรียงตัวสลับกัน ท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเป็นใจ เฆมแตกกระจายเป็นเส้นเล็กๆเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ที่เขาเรียก"ฟ้าระเบิด" ได้เห็นจริงก็วันนี้แหละครับ นอกจากฟ้าระเบิด ไฮไลท์อีกอย่างจะเป็นสันเขาเส้นทางที่เราเดินไปยังม่อนคลุย มองเห็นเป็นภูเขาหัวโล้นมีต้นไม้ขึ้นประปราย ระหว่างสองข้างทางมองเห็นภูเขาเรียงตัวสลับกันยาวสุดสายตา ระหว่างทางเราจะมองเห็นสถูปเก่า ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่าม่อนปุยหลวง เป็นจุดกางเตนท์แวะพักและสามารถกางเต้นท์ได้
เตรียมลุย เป้าหมาย ม่อนคลุย

           เราเดินตามสันเขาตัดลงมาเรื่อยจนมาบรรจบกับถนนลูกรังเส้นที่มาจากม่อนคลุย เราแวะพักกินอาหารกลางวันกันที่นี้ ในใจก็หวังลึกๆอยากให้มีรถกระบะผ่านมาสักคัน จะได้โบกขึ้นไปม่อนคลุย ระหว่างนั่งพักรอสมาชิกที่เหลือ มีเสียงรถดังมาแต่ไกล โชคดีแล้วเราไม่ต้องเดินให้เหนื่อย สุดท้ายเป็นรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้าน "เซ็งจุงเบย" หลังจากสมาชิกที่เหลือมากันครบเราออกเดินทางกันต่อ ตามถนนลูกรังมุ่งหน้าสู่ม่อนคลุย เดินมาได้สักพักถนนลูกรังถูกเทพื้นเป็นถนนคอนกรีต แสดงถึงอารยธรรมอันศิวิลัย แต่ไปได้ไม่ไกลก็กลับเป็นถนนลูกรังอีกครั้ง(คาดว่างบคงหมด) เดินมาเรื่อยๆเราเริ่มได้ยินเสียรถยนต์เสียงผู้คนส่งเสียงพูดคุยกัน มองเห็นหลังคาศาลาอยู่ไม่ไกล ในที่สุดเราก็มาถึงม่อนคลุย ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมง เวลาเดินผ่านคนที่มาตั้งแคมป์เราจะถูกมองด้วยสายตาแบบคนสงสัยว่าพวกนี้มันไปทำอะไรกันมา แบกอะไรกันมานักหนา ทำไมไม่เอาของไปวางที่รถแล้วค่อยเดินเที่ยว คืออยากจะบอกมาก "กูเดินมาจากม่อนทูเล" แต่ก็ไม่กล้าบอกเดียวจะโดยหาว่าบ้า จะเดินมาทำไมให้ลำบาก (มันเป็นความภูมิใจเล็กๆในใจที่ทำสำเร็จ) จบสิ้นกันที่กับภาระกิจการเดินป่าข้ามปี ตอนไปนี้รถถึงตลอดไม่ต้องเดินแล้ววว
มองเห็นม่อนคลุยอยู่ไกลๆ


          หลังจากที่เดินกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อย โค๊กเย็นๆใส่น้ำแข็ง เป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้ว โค๊กถูกกำจัดอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากอาหารเย็นเมื่อวาน ไม่รู้ตายอดตายอยากมาจากไหน พอมาถึงกันครบก็จัดแจงกางเต้นท์ ทำแคมป์กลาง ที่ม่อนคลุยคนค่อนข้างเยอะเพราะรถสามารถมาถึงได้ เหมือนไปกางเต้นท์บนเขาใหญ่ช่วงวันหยุดยาว พื้นที่กางเต้นท์ค่อนข้างเยอะมีห้องน้ำพร้อม หลังจากกางเต้นท์เสร็จกิจกรรมต่อมาที่ทุกคนอยากทำ ไม่ใช่การนอนแต่เป็นการอาบน้ำ หลังจากที่อาบเหงื่อกันมาตั้งแต่เมื่อวาน การอาบน้ำตอนนี้เป็นอะไรที่สดชื่นมาก แม้ประตูห้องน้ำจะล๊อกไม่ได้หรือบางห้องไม่มีประตู แต่ก็ไม่ใช้อุปสรรค์ในการอาบน้ำ วันนี้ผมขอนอนแคมป์กลางเพราะขี้เกียจเก็บเต้นท์ในตอนเช้า มีพื้นที่ให้นอนกลิ้งได้อย่างกว้างขวาง หลังจากอาบน้ำเสร็จ สมาชิกรวมกลุ่มกันเม้าท์มอยเรื่องทริปต่างๆที่ต่างคนต่างเคยไปมา พร้อมจิบเบียร์เย็นๆดับกระหาย การได้เบียร์เย็นช่วยทำให้ลื่นคอมากขึ้น นั่งคุยเล่าเรื่องราวประสบการณ์การท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนานรอเวลาชมพระอาทิตย์ตก เบียร์สองถาดดูเหมือนจะน้อยเกินไปเพราะมันหมดไปอย่างรวดเร็ว

          พระอาทิตย์ตกที่ม่อนคลุยสวยไม่แพ้ม่อนทูเล หากใครไม่อยากเดินป่าระยะไกลแนะนำม่อนคลุยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แจ่มแจ๋ว คืนนี้เมฆเยอะไปหน่อยทำให้บดบังดาวบนท้องฟ้าแต่ยังมีพอให้นอนนับดาวกันได้ คืนนอนนอนแคมป์กลางผมหลับไปคนแรกเลย เช้ามาน้องที่ไปด้วยบอก "พี่หลับเร็วมากเลย ผมหันมาได้ยินเสียงกรนพี่แล้ว" นี้เรานอนกรนจริงๆเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย สงสัยจะเหนื่อยจัด ปกตินอนไม่กรนนะ(เข้าข้างตัวเอง) อย่างที่บอกเฆมค่อนเข้าเยอะเช้านี้เลยไม่ได้ลุกขึ้นมาถ่ายดาว ตื่นมาอีกที่ก็ 6 โมงเช้าเลย เช้านี้มีการแสดงโชว์บนท้องฟ้าด้วย มองเห็นเป็นแสงไฟพุงลงมาจากฟ้า นึกว่าโทนี่ สตาร์คสวมชุด Iron man ไปปาร์ตี้ที่ฝรั่งเศษ แอบบินผ่านม่อนคลุย มาทราบข่างที่หลังว่าเป็นชิ้นส่วนขยะอวกาศที่ตกมาจากฟ้า มองเห็นได้ทั่วไปทั้งประเทศ หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเช้าก็จัดแจงเก็บเตนท์ที่พัก รวบรวมขยะใส่ถุงนำไปทิ้งข้างล่าง ไม่ต้องเดินแล้วนั่งรถกระบะลงไปจนถึงอบตเลย พอมาถึงอบตก็จัดแจงอาบน้ำแต่งหล่อแต่งสวยเตรียมตัวกลับสู่เมืองกรุง เข้าสู้ชีวิตการเริ่มต้นทำงานในปี 59 พร้อมกับความทรงจำและมิตรภาพดีๆในทริปนี้ (จบแล้วครับ ยาวไปหน่อย รึป่าว)


ภาพที่เหลือชมได้ที่