หลังจากทริปรักนกรักป่าครั้งที่3 จบลง กลุ่มรักนกรักป่าก็ปิดตัวลงจึงไม่มีกิจกรรมของกลุ่มอีก อีกทั้งตอนนั้นเรียนปี3 กันแล้วการเรียนก็ค่อนข้างหนักจึงทำให้หลายๆคนแยกย้ายกันไป แต่ก็ยังมีบ้างคนในกลุ่มที่ยังคงเที่ยวกันต่อ ทริปต่อมาหลังจากจบทริปรักนกรักป่า เป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจ จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก็ไม่ได้ อธิบายหน่อยแล้วกันจริงๆตั้งใจจะไปทีนึง แต่สุดท้ายได้ไปอีกทีนึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ทริปนี้เริ่มจากช่วงปิดภาคเรียนปี3 หลังจากที่ฝึกงานเสร็จก่อนเปิดภาคเรียน อ.เชิดชวนไปหาที่แช่น้ำนอนเล่นกัน เอาแบบไปง่ายๆ ถูกๆ สรุปสถานีที่คือน้ำตกเอราวัณ จ.กาญจนบุรี สมาชิกทริปนี้มีด้วยกัน 4 คน อยากไปกันแบบประหยัดๆ โดยการนั่งรถทัวร์จากขนส่งสายใต้ไปลงที่ จ.กาญจนบุรี เพื่อเดินทางไปยังน้ำตกเอราวัณ ที่กาญจนบุรีมีรถวิ่งจากตัวเมืองไปจนถึงตัวน้ำตก แต่เนื่องจากอยากมากันอย่างประหยัด เลยตกลงกันที่จะโบกรถไปยังตัวน้ำตก(ติดใจการโบกจากทริปก่อน อยากลองฝีมือหน่อย) เรานั่งรถประจำทางออกไปห่างจากตัวเมืองเล็กน้อยเพื่อให้โบกง่ายขึ้น เราโบกรถกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีรถกระบะแบบมีหลังคาจอด มีลุงแก่ๆเป็นคนขับ ลุงเปิดกระจกถามเราว่า "จะไปไหนกัน" เราตอบไปว่า "ไปน้ำตกเอราวัณครับลุงผ่านรึป่าวครับ พวกผมขอติดรถไปหน่อย" ลุงแกตอบมาว่า " ไปซิบ้านลุงอยู่แถวนั้น ลุงคิดค่ารถ 300"(จำไม่ได้ว่าลุงแกคิดเท่าไรน่าจะประมาณ 300) อ.เชิดตอบลงไปในทันใดว่า "ไม่ดีกว่าครับลุงเราอยากโบกรถไปมากกว่า ลุงไปเถอะครับ" ลุงแกก็แสดงท่าทีว่าอยากจะให้ไปด้วย มาทราบทีหลังว่าลุงแกเพิ่งไปส่งฝรั่งกลับตัวเมือง แล้วต้องวิ่งรถเปล่ากลับบ้าน เลยหารับคนข้างทางเป็นค่าน้ำมัน ลุงแกชวนอยู่นานจนสุดท้ายลุงยื่นข้อเสนอใหม่ คนละ50บาท พวกเราเลยปรึกษากันก็ตกลงไปกับลุง เพราะโบกมาสักพักแล้วยังไม่ได้รถเลยกลัวจะไปถึงเย็นด้วย อ.เชิดนั่งข้างหน้าข้างคนขับกับลุง ส่วนพวกเราที่เหลืออีก3คนนั้งข้างหลัง รถลุงแกเป็นรถกระบะแบบรถ2แถว คือมีที่นั่ง2ข้างที่กระบะท้าย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดตามแผนสักเท่าไร นอกจากเรื่องโบกรถ รถวิ่งมาจนเกือบถึงน้ำตกเอราวัณ อยู่ดีๆรถก็หันหัวเข้าไปจอดที่บ้านหลังหนึ่ง ลุงแกเปิดประตูลงมาจากรถแล้วบอกพวกเราที่อยู่ข้างหลังว่า "รอแป๊ะนะ เดี่ยวลงไปเอาเสื้อผ้าก่อน" พวกเรา3คนก็งงว่าลุงจะไปเล่นน้ำตกกับเราด้วยเหรอ พอลุงแกเดินเข้าบ้าน อ.เชิดก็เปิดประตูลงมาเล่าสาเหตุที่ลุงไปเก็บเสื้อผ้า อ.เชิดแกบอกว่าระหว่างที่นั่งรถมา แกเกิดเปลี่ยนใจอยากไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เลยถามลุงไปว่า "ลุงถ้าไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นลุงไปไหม คิดราคายังไง พวกน้องๆเขายังไม่เคยไปกัน) ลุงแกบอกราคามา ท้ายถ้าจำไม่ผิด 2000 บาท อ.เชิดตกลงในทันทีโดยไม่ปรึกษาใครตามสไตร์แก
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นน้ำตกขนาดกลางที่เรียกได้ว่าเป็นราชินีน้ำตก(ราชาคือทีลอซู) สามารถไปได้2เส้นทางด้วยกันคือ เส้นที่1 ใช้วิธีเอารถข้ามโป๊ะ แล้ววิ่งต่ออีกไม่ไกล เส้นทางที่ 2 ที่พวกเรากำลังจะไปคือใช้เส้นทางจากน้ำตกเอราวัณวิ่งเลาะเริ่มเขื่อนขึ้นไป สมัยที่พวกเราไปทางยังเป็นทางลูกรัง เส้นทางค่อนข้างจะลำบากผิดกับสมัยนี้ที่ถนนลาดคอนกรีตจนถึงตัวน้ำตก สมัยก่อนนี้รถเก๋งเรียกได้ว่าแทบจะหมดสิทธิ์ไปได้เลยทีเดียว ผิดกับสมัยนี้รถเก๋งโหลดเตี้ยยังไปได้ ผมกับสมาชิกอีก2คนเพิ่งเคยมาน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นครั้งแรก ยอมรับว่าเป็นน้ำตกที่สวยมากตั้งแต่ผมเริ่มเที่ยวมา ครั้งนี้ผมติดกล้อง Digital สุด hitech ไปด้วย เลยได้มีโอกาสเก็บภาพน้ำตกสุดสวยแห่งนี้ และถือเป็นโชคดี ผมได้มีโอกาสส่งภาพน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นไปประกวดภาพถ่ายของนิติยสาร อสท แล้วได้รางวัลเป็นนิติยสาร อสท ฟรี1ปี พร้อมกล้องฟลิม์แบบที่ใช้ได้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเลยของ KODAK ไม่รู้ยังไม่คนจำได้รึป่าว ครั้งนี้เราผูกเปลนอนเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา อากาศเดือนเมษาค่อนข้างร้อน การผูกเปลนอนทำให้ลมพักโกรกเย็นสบาย ตั้งแต่เริ่มเที่ยวมาผมผูกเปลนอนตลอดยังไม่เคยนอนเต้นท์เลย หลายๆคนที่เริ่มเที่ยวแบบนี้มักจะเคยนอนเต้นท์กันมาก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนมานอนเปล ผิดกับผม(รึเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา) ทริปนี้ก็ออกจะสบายๆชิวๆ เพราะตั้งใจจะมาหาที่นอนแช่น้ำ จำได้ว่าที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นจะมีร้านค้าขายอาหารตามสั่งบริเวณด้านล่าง ตอนนั้นไปสั่งข้าวไข่เจียวหมูสับแล้วไข่ที่เขาทอดมามันกรอบอร่อยมาก แต่ไปรอบหลังๆเหมือนจะไม่ค่อยกรอบแล้ว รึเขาเปลี่ยนร้านไปแล้วก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นติดใจไข่เจียวร้านนั้นมาก เวลาเพื่อนๆจะมาน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นผมก็จะบอกอยู่เสมอว่า อย่าลืมสั่งไข่เจียวกรอบๆนะ อร่อยมาก ไม่รู้หลายๆคนจะมีโอกาสได้กินไข่เจียวกรอบไหม ขากลับจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นลุงพาเราไปแวะที่ถ้ำพระธาตุ ซึ่งอยู่เลยน้ำตกเอราวัญมาไม่ไกล การเข้าถ้ำต้องมีคนนำทางแล้วใช้แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ ถึงแม้จะเป็นเดือนเมษาที่อากาศร้อนแต่พอเข้าไปในถ้ำ อุณหภูมิกลับลดลงอย่างน่าแปลกใจเรียกได้ว่าภายในถ้ำอากาศเย็นสบายเหมือนมีใครมาติดเครื่องปรับอากาศไว้ สาเหตุที่ชื่อว่า้ถพระธาตุเพราะภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อนที่ก่อร่างสร้างตัวเป็นรูปลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางห้ามญาติ เมื่อแสงตะเกียงเจ้าพายุไปกระทบยิ่งส่งให้สวยงามยิ่งขึ้น หลังจากกลับจากถ้ำพระธาตุลุงแวะส่งเราแค่ที่บ้านลุง เราตั้งใจจะนั่งรถประจำทางรอบสุดท้ายของวันกลับตัวเมือง แต่ไหนๆตั้งใจจะมาโบกรถเที่ยว เลยลองโบกดูระหว่างที่รอรถประจำทาง ไม่น่าเชื่อจะโบกง่ายมาก มีรถกระบะคันหนึ่งจอดรับเราเป็นหญิงสาววัยกลางคน ไม่ได้พูดจาอะไรกันมา เราแค่บอกว่าผ่านตัวเมืองกาญไหมครับ เขาพยักหน้า พวกเราก็รีบแยกย้ายลาลุงแล้วกระโดดขึ้นรถกระบะทันที รถมาจอดที่ตัวเมืองกาญพวกเราลงจากรถกระบะยังไม่ทันได้ขอบคุณรถคันนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้กลัวใครในพวกเรารึป่าว ขากลับจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นวิ่งบนถนนลูกรังเรียกได้ว่าเป็นฝรั่งหัวแดงกันเลยทีเดียว จะนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพก็กลัวรถจะไม่ให้ขึ้น เลยตัดสิ้นใจหาที่อาบน้ำกันก่อน มองซ้ายมองขวาหันไปเจอสถานีตำรวจ "ตำรวจเป็นที่พึงของประชาชน" คำนี้ใช้ได้จริงๆ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์คนไม่เยอะวุ่นวาย(จริงๆเรียกว่าไม่มีคนเลยละ) เราผลัดกันอาบโดยมีคนดูต้นทางไว้ เนื่องจากสถานีตำรวจไม่มีห้องอาบน้ำเราเลยอาศัยห้องส้วมในการอาบ ทำการแอบอาบในสถานีตำรวจ (หวังว่าตำรวจคงไม่สืบคดีย้อนหลังนะ ไม่งั้นดังแน่ พาดหัวข่าวประจำวัน "อาจารย์พร้อมนักศึกษาอีก3คน บุกยึดห้องน้ำกลางสถานีตำรวจ") จริงๆในระหว่างการอาบก็มีตำรวจนายหนึ่งมาถามเหมือนกันว่าทำอะไรกัน ก็ก็บอกไปว่ามาอาบน้ำครับ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ตำรวจใจดีอยู่แล้ว นี้ก็เป็นอีกทริปหนึ่งที่ประทับใจแม้จะไม่ใช่การเดินป่าที่แสนโหด ครั้งนี้ก็ขอจบเรื่องแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับเอาไว้รอภาค 4 ละกันนะครับถ้ายังไม่เบื่อกันเสียก่อน
สมาชิกที่ไปครั้งนี้
ภาพนี้คือภาพที่ส่งไปประกวด
ชั้นอะไรจำไม่ได้แล้ว
นี้ก็จำไม่ได้ว่าชั้นอะไร
นอนแช่น้ำกันสมใจ
โดดน้ำเล่นสนุกสนาน
ด้านหลังมองเห็นเขื่อนศรีนครินทร์
เต้นที่มากางค่อนข้างน้อยเพราะมาลำบากผิดกับสมัยนี้
ตัวน้ำตกติดกับเขื่อนเลย
หินงอกที่บอกว่าคล้ายพระพุทธรูป