วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

CR เรื่องราวประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบัน ภาค 3

         มาต่อกันภาค3นะครับ หลังจากที่หายไปหลายวันติดภาระกิจนิดหน่อย ไปตีแบตมาหลังจากไม่ได้ตีมานานเล่นเอาซะยกแขนไม่ขึ้น เลยไม่ได้เขียนมาหลายวัน วันนี้ดีขึ้นเลยมาเขียนเรื่องราวการท่องเที่ยวภาค3ต่อ ไม่ให้ช้าเสียเวลามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
       หลังจากทริปรักนกรักป่าครั้งที่3 จบลง กลุ่มรักนกรักป่าก็ปิดตัวลงจึงไม่มีกิจกรรมของกลุ่มอีก อีกทั้งตอนนั้นเรียนปี3 กันแล้วการเรียนก็ค่อนข้างหนักจึงทำให้หลายๆคนแยกย้ายกันไป แต่ก็ยังมีบ้างคนในกลุ่มที่ยังคงเที่ยวกันต่อ ทริปต่อมาหลังจากจบทริปรักนกรักป่า เป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจ จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก็ไม่ได้ อธิบายหน่อยแล้วกันจริงๆตั้งใจจะไปทีนึง แต่สุดท้ายได้ไปอีกทีนึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ทริปนี้เริ่มจากช่วงปิดภาคเรียนปี3 หลังจากที่ฝึกงานเสร็จก่อนเปิดภาคเรียน อ.เชิดชวนไปหาที่แช่น้ำนอนเล่นกัน เอาแบบไปง่ายๆ ถูกๆ สรุปสถานีที่คือน้ำตกเอราวัณ จ.กาญจนบุรี สมาชิกทริปนี้มีด้วยกัน 4 คน อยากไปกันแบบประหยัดๆ โดยการนั่งรถทัวร์จากขนส่งสายใต้ไปลงที่ จ.กาญจนบุรี เพื่อเดินทางไปยังน้ำตกเอราวัณ ที่กาญจนบุรีมีรถวิ่งจากตัวเมืองไปจนถึงตัวน้ำตก แต่เนื่องจากอยากมากันอย่างประหยัด เลยตกลงกันที่จะโบกรถไปยังตัวน้ำตก(ติดใจการโบกจากทริปก่อน อยากลองฝีมือหน่อย) เรานั่งรถประจำทางออกไปห่างจากตัวเมืองเล็กน้อยเพื่อให้โบกง่ายขึ้น เราโบกรถกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีรถกระบะแบบมีหลังคาจอด มีลุงแก่ๆเป็นคนขับ ลุงเปิดกระจกถามเราว่า "จะไปไหนกัน" เราตอบไปว่า "ไปน้ำตกเอราวัณครับลุงผ่านรึป่าวครับ พวกผมขอติดรถไปหน่อย" ลุงแกตอบมาว่า " ไปซิบ้านลุงอยู่แถวนั้น ลุงคิดค่ารถ 300"(จำไม่ได้ว่าลุงแกคิดเท่าไรน่าจะประมาณ 300) อ.เชิดตอบลงไปในทันใดว่า "ไม่ดีกว่าครับลุงเราอยากโบกรถไปมากกว่า ลุงไปเถอะครับ" ลุงแกก็แสดงท่าทีว่าอยากจะให้ไปด้วย มาทราบทีหลังว่าลุงแกเพิ่งไปส่งฝรั่งกลับตัวเมือง แล้วต้องวิ่งรถเปล่ากลับบ้าน เลยหารับคนข้างทางเป็นค่าน้ำมัน ลุงแกชวนอยู่นานจนสุดท้ายลุงยื่นข้อเสนอใหม่ คนละ50บาท พวกเราเลยปรึกษากันก็ตกลงไปกับลุง เพราะโบกมาสักพักแล้วยังไม่ได้รถเลยกลัวจะไปถึงเย็นด้วย อ.เชิดนั่งข้างหน้าข้างคนขับกับลุง ส่วนพวกเราที่เหลืออีก3คนนั้งข้างหลัง รถลุงแกเป็นรถกระบะแบบรถ2แถว คือมีที่นั่ง2ข้างที่กระบะท้าย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดตามแผนสักเท่าไร นอกจากเรื่องโบกรถ รถวิ่งมาจนเกือบถึงน้ำตกเอราวัณ อยู่ดีๆรถก็หันหัวเข้าไปจอดที่บ้านหลังหนึ่ง ลุงแกเปิดประตูลงมาจากรถแล้วบอกพวกเราที่อยู่ข้างหลังว่า "รอแป๊ะนะ เดี่ยวลงไปเอาเสื้อผ้าก่อน" พวกเรา3คนก็งงว่าลุงจะไปเล่นน้ำตกกับเราด้วยเหรอ พอลุงแกเดินเข้าบ้าน อ.เชิดก็เปิดประตูลงมาเล่าสาเหตุที่ลุงไปเก็บเสื้อผ้า อ.เชิดแกบอกว่าระหว่างที่นั่งรถมา แกเกิดเปลี่ยนใจอยากไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เลยถามลุงไปว่า "ลุงถ้าไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นลุงไปไหม คิดราคายังไง พวกน้องๆเขายังไม่เคยไปกัน) ลุงแกบอกราคามา ท้ายถ้าจำไม่ผิด 2000 บาท อ.เชิดตกลงในทันทีโดยไม่ปรึกษาใครตามสไตร์แก
         น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นน้ำตกขนาดกลางที่เรียกได้ว่าเป็นราชินีน้ำตก(ราชาคือทีลอซู) สามารถไปได้2เส้นทางด้วยกันคือ เส้นที่1 ใช้วิธีเอารถข้ามโป๊ะ แล้ววิ่งต่ออีกไม่ไกล เส้นทางที่ 2 ที่พวกเรากำลังจะไปคือใช้เส้นทางจากน้ำตกเอราวัณวิ่งเลาะเริ่มเขื่อนขึ้นไป สมัยที่พวกเราไปทางยังเป็นทางลูกรัง เส้นทางค่อนข้างจะลำบากผิดกับสมัยนี้ที่ถนนลาดคอนกรีตจนถึงตัวน้ำตก สมัยก่อนนี้รถเก๋งเรียกได้ว่าแทบจะหมดสิทธิ์ไปได้เลยทีเดียว ผิดกับสมัยนี้รถเก๋งโหลดเตี้ยยังไปได้ ผมกับสมาชิกอีก2คนเพิ่งเคยมาน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นครั้งแรก ยอมรับว่าเป็นน้ำตกที่สวยมากตั้งแต่ผมเริ่มเที่ยวมา ครั้งนี้ผมติดกล้อง Digital สุด hitech ไปด้วย เลยได้มีโอกาสเก็บภาพน้ำตกสุดสวยแห่งนี้ และถือเป็นโชคดี ผมได้มีโอกาสส่งภาพน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นไปประกวดภาพถ่ายของนิติยสาร อสท แล้วได้รางวัลเป็นนิติยสาร อสท ฟรี1ปี พร้อมกล้องฟลิม์แบบที่ใช้ได้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเลยของ KODAK ไม่รู้ยังไม่คนจำได้รึป่าว ครั้งนี้เราผูกเปลนอนเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา อากาศเดือนเมษาค่อนข้างร้อน การผูกเปลนอนทำให้ลมพักโกรกเย็นสบาย ตั้งแต่เริ่มเที่ยวมาผมผูกเปลนอนตลอดยังไม่เคยนอนเต้นท์เลย หลายๆคนที่เริ่มเที่ยวแบบนี้มักจะเคยนอนเต้นท์กันมาก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนมานอนเปล ผิดกับผม(รึเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา) ทริปนี้ก็ออกจะสบายๆชิวๆ เพราะตั้งใจจะมาหาที่นอนแช่น้ำ จำได้ว่าที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นจะมีร้านค้าขายอาหารตามสั่งบริเวณด้านล่าง ตอนนั้นไปสั่งข้าวไข่เจียวหมูสับแล้วไข่ที่เขาทอดมามันกรอบอร่อยมาก แต่ไปรอบหลังๆเหมือนจะไม่ค่อยกรอบแล้ว รึเขาเปลี่ยนร้านไปแล้วก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นติดใจไข่เจียวร้านนั้นมาก เวลาเพื่อนๆจะมาน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นผมก็จะบอกอยู่เสมอว่า อย่าลืมสั่งไข่เจียวกรอบๆนะ อร่อยมาก ไม่รู้หลายๆคนจะมีโอกาสได้กินไข่เจียวกรอบไหม ขากลับจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นลุงพาเราไปแวะที่ถ้ำพระธาตุ ซึ่งอยู่เลยน้ำตกเอราวัญมาไม่ไกล การเข้าถ้ำต้องมีคนนำทางแล้วใช้แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ ถึงแม้จะเป็นเดือนเมษาที่อากาศร้อนแต่พอเข้าไปในถ้ำ อุณหภูมิกลับลดลงอย่างน่าแปลกใจเรียกได้ว่าภายในถ้ำอากาศเย็นสบายเหมือนมีใครมาติดเครื่องปรับอากาศไว้ สาเหตุที่ชื่อว่า้ถพระธาตุเพราะภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อนที่ก่อร่างสร้างตัวเป็นรูปลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางห้ามญาติ เมื่อแสงตะเกียงเจ้าพายุไปกระทบยิ่งส่งให้สวยงามยิ่งขึ้น หลังจากกลับจากถ้ำพระธาตุลุงแวะส่งเราแค่ที่บ้านลุง เราตั้งใจจะนั่งรถประจำทางรอบสุดท้ายของวันกลับตัวเมือง แต่ไหนๆตั้งใจจะมาโบกรถเที่ยว เลยลองโบกดูระหว่างที่รอรถประจำทาง ไม่น่าเชื่อจะโบกง่ายมาก มีรถกระบะคันหนึ่งจอดรับเราเป็นหญิงสาววัยกลางคน ไม่ได้พูดจาอะไรกันมา เราแค่บอกว่าผ่านตัวเมืองกาญไหมครับ เขาพยักหน้า พวกเราก็รีบแยกย้ายลาลุงแล้วกระโดดขึ้นรถกระบะทันที รถมาจอดที่ตัวเมืองกาญพวกเราลงจากรถกระบะยังไม่ทันได้ขอบคุณรถคันนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้กลัวใครในพวกเรารึป่าว ขากลับจากน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นวิ่งบนถนนลูกรังเรียกได้ว่าเป็นฝรั่งหัวแดงกันเลยทีเดียว จะนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพก็กลัวรถจะไม่ให้ขึ้น เลยตัดสิ้นใจหาที่อาบน้ำกันก่อน มองซ้ายมองขวาหันไปเจอสถานีตำรวจ "ตำรวจเป็นที่พึงของประชาชน" คำนี้ใช้ได้จริงๆ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์คนไม่เยอะวุ่นวาย(จริงๆเรียกว่าไม่มีคนเลยละ) เราผลัดกันอาบโดยมีคนดูต้นทางไว้ เนื่องจากสถานีตำรวจไม่มีห้องอาบน้ำเราเลยอาศัยห้องส้วมในการอาบ ทำการแอบอาบในสถานีตำรวจ (หวังว่าตำรวจคงไม่สืบคดีย้อนหลังนะ ไม่งั้นดังแน่ พาดหัวข่าวประจำวัน "อาจารย์พร้อมนักศึกษาอีก3คน บุกยึดห้องน้ำกลางสถานีตำรวจ") จริงๆในระหว่างการอาบก็มีตำรวจนายหนึ่งมาถามเหมือนกันว่าทำอะไรกัน ก็ก็บอกไปว่ามาอาบน้ำครับ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ตำรวจใจดีอยู่แล้ว นี้ก็เป็นอีกทริปหนึ่งที่ประทับใจแม้จะไม่ใช่การเดินป่าที่แสนโหด ครั้งนี้ก็ขอจบเรื่องแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับเอาไว้รอภาค 4 ละกันนะครับถ้ายังไม่เบื่อกันเสียก่อน
สมาชิกที่ไปครั้งนี้

ภาพนี้คือภาพที่ส่งไปประกวด

ชั้นอะไรจำไม่ได้แล้ว

นี้ก็จำไม่ได้ว่าชั้นอะไร

นอนแช่น้ำกันสมใจ

โดดน้ำเล่นสนุกสนาน

ด้านหลังมองเห็นเขื่อนศรีนครินทร์

เต้นที่มากางค่อนข้างน้อยเพราะมาลำบากผิดกับสมัยนี้

ตัวน้ำตกติดกับเขื่อนเลย

หินงอกที่บอกว่าคล้ายพระพุทธรูป

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

CR เรื่องราวประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบัน ภาค 2

         ภาค2 มาแล้ว ไม่รู้ยังมีคนสนใจติดตามอ่านกันอยู่รึป่าว แต่ถึงไม่มีคนอ่านผมก็ยังคิดว่าจะเขียนต่อไป เก็บไว้เป็นบันทึกความทรงจำ เผื่อเอาไว้ย้อนกลับมารำลึกความทรงจำในอดีต จริงๆสมัยก่อนผมก็เคยเขียนบันทึกเรื่องราวการท่องเที่ยวไว้เหมือนกันในเว็บ Multiply ถ้าใครเล่นกล้องมาตั้งแต่สมัยก่อนจะรู้จักกันดี Multiply เป็นเว็บสำหรับให้นักถ่ายภาพนำภาพมาลงอวดฝีมือขั้นเทพกัน แต่เสียด้ายที่ตอนนี้ได้ถูกปิดตัวลงไปเสียแล้ว มันถือเป็นโซเชียลมีเดียยุคแรกๆเลยก็ว่าได้ มาเข้าเรื่องทริปการท่องเที่ยวของผมกันดีกว่า เกริ่นนำมายาวพอสมควรแล้ว
          ทริปที่3 ของกลุ่มรักนกรักป่า ปีนี้จัดขึ้นช่วงต้นปีของปี 46 ตอนนั้นผมอยู่ประมาณปี3 ในช่วงมกราคมของทุกปีจะเป็นช่วงกีฬามหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยจะประกาศเป็นวันหยุดประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อให้นักกีฬาออกไปแข่งกีฬาเพื่อทำชื่อเสียงให้สถาบัน ส่วนนิสิตคนอื่นๆทางมหาวิทยาลัยก็หยุดให้ไปเชียร์กีฬาเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่นักกีฬา แต่ไม่ใช่สำหรับกลุ่มรักนกรักป่า ช่วงหยุดกีฬามหาลัยถือเป็นช่วงที่ดีเหมาะแก่การท่องเที่ยว ไม่ต้องมากังวลเรื่องเรียน ทริปนี้จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้สมาชิกได้สัมผัสกับการดูนกตามชื่อกลุ่ม รักนกรักป่า หลังจากสองทริปที่ผ่านมาเราไปสัมผัสกับการเดินป่ากันมาแล้วถึงแม้จะเป็นการเดินป่าแบบอ่อนๆก็ตาม ทริปนี้จัดที่ขึ้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทรบุรี โดยครั้งนี้มีความพิเศษกว่าทริปที่ผ่านๆมา เนื่องจากสมาชิกที่ไปในทริปนี้ทุกคนจะต้องแบ่งกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 3คน แยกกันลงรถตามสถานที่ต่างในจังหวัดปราจีนบุรี แล้วให้ทุกกลุ่มทำการโบกรถจากจุดที่รถลง ไปยังจุดหมายที่น้ำตกเขาสอยดาว ซึ่งนั้นก็เป็นการโบกรถเที่ยวครั้งแรกของผมและเพื่อนสมาชิกร่วมทริป จะมีก็แต่อ.เชิดคนเดียวละมั่งที่เคยโบกรถเที่ยวมาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากเป็นการโบกรถครั้งแรกของหลายๆคน เส้นทางที่โบกไปยังจุดหมายจึงเป็นถนนสายหลักที่รถส่วนใหญ่จะผ่านอยู่แล้ว กลุ่มของผมลงรถที่จุดเริ่มโบกเป็นกลุ่มแรกทำให้จุดหมายปลายทางไกลที่สุด บอกตรงๆตอนนั้นไม่รู้เลยว่าจะโบกกันยังไง แล้วจะมีคนรับเราขึ้นรถรึป่าว เราโบกรถคันแรกกันอยู่สักพักใหญ่ๆ ไม่มีคันไหนจอดรับเราเลย บางคันที่จอดก็ไปไม่ถึงจุดหมายของเรา กลุ่มผมเลยแอบโกงเล็กๆ(เรื่องนี้รู้กันเฉพาะคนในกลุ่มเท่านั้น ดังนั้นใครรู้เรื่องนี้แล้วช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ) โบกอยู่นานไม่จอดสักที่เลยโบกรถประจำทางมันซะเลยเพราะเราลงความเห็นกันในกลุ่มว่า ตรงจุดที่เราลงรถมันใกล้ท่ารถเกินไป คนขับผ่านมาเลยมองว่าเราจะโบกรถประจำทางรึป่าว(จริงๆผมไม่ได้โกงนะ ก็ดันปล่อยลงตรงนี้เองนี้) เรานั่งรถประจำทางไปไม่ไกลจากจุดลงรถเท่าไรนัก เพราะเรากลัวว่าสมาชิกทีมอื่นจะเห็นว่าเราแอบขึ้นรถประจำทางแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครจับได้ หลังจากลงรถประจำทางเราก็เริ่มโบกรถกันต่อ คร่าวนี้รอไม่นานก็มีรถใจดีจอดให้เราขึ้น รถที่จอดให้เราเป็นรถอีแต้นของชาวบ้านถ้าใครเคยนั่งรถอีแต้นก็จะรู้ว่ามันทำความเร็วได้ช้าาาาาาาามากกกกก 20กม/ชั่วโมงได้มั่ง ถึงจะช้าแต่ก็เป็นประสบการณ์เริ่มต้นการโบกรถที่ดี รถอีแต้นไม่ได้ไปถึงจุดหมายที่เราต้องการ ทำให้เราต้องโบกรถต่อไปอีก จำไม่ค่อยได้แล้วว่าโบกต่ออีกกี่คันจึงถึงที่จุดหมายที่นัดกันไว้(ไม่มีโบกรถประจำทางนะจ๊ะ) กลุ่มผมมาถึงจุดหมายช่วงเย็นๆ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะมาถึงกลุ่มสุดท้ายเลยมั่ง ไม่ใช่เพราะโบกกันไม่เก่งนะแต่ลงรถกลุ่มแรกเลยระยะทางมันไกล แถมโบกได้รถอีแต้นอีก(แก้ตัวน้ำขุ่นๆเลย อิอิ) นั้นก็เป็นประสบการณ์การโบกรถเที่ยวครั้งแรกของผม
         ที่น้ำตกเขาสอยดาวจุดตั้งแคมป์ของเราเป็นแหล่งดูนกที่ดีจุดหนึ่ง ทางเจ้าหน้าทีของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวก็อำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี มีอุปกรณ์สำหรับดูนกเตรียมให้เราอย่างพร้อมเพียง(คนในกลุ่มไม่มีใครมีอุปกรณ์การดูนกมาเลย) ในตอนนั้นบอกตรงๆว่าดูนกไม่เป็นไม่รู้จักชนิดของนกเลย รู้จักก็แต่ นกกระจอก นกพิราบ อีกา ตั้งแต่ตอนนั้นมาถึงปัจจุบันก็ขอบอกว่าก็ยังดูนกไม่เป็นเหมือนเดิม และก็ไม่เคยไปทริปดูนกอีกเลยตั้งแต่ทริปนี้ อาจเป็นเพราะคนดูนกต้องเป็นคนใจเย็นๆค่อยๆมองหานกที่ละตัว แต่สำหรับผมมองซ้ายก็หานกไม่เจอ มองขวาก็ไม่มี นกมันบินไปไหนกันหมดว่ะ ทำไมคนอื่นเขาเจอได้เจอดีเราทำไมหาไม่เจอสักตัว ทริปนี้เรามากันช่วงมกราคมอากาศที่เขาสอยดาวเรียกได้ว่าหนาวทีเดียว ผมได้มีโอกาสลองสุราพื้นเมืองจากเพือนที่เอาติดไปด้วย เป็นเหล้ากระเหรี่ยงสีของมันแดงอมชมพู่ เรียกได้ว่าถ้าเอามาวางคู่น้ำมันเบนซินมีคนหยิบเบนซินไปกระดกแน่นอน ตามปกติผมเป็นคนไม่กินเหล้าเท่าไร นอกจากสังสรรค์กับเพื่อนๆซึ่งนานๆที แต่ทริปนี้ต้องจัดเหล้ากระเหรี่ยงสักหน่อยแล้ว เพราะอากาศมันเย็นมาก ยกกระดกเข้าไปสักแก้วเล่นเอาร้อนวูบเลยทีเดียว ทริปนี้ผมยังคงนอนเปลเช่นเดิม ตกดึกพอเหล้ากระเหรี่ยงหมดฤิทธิ์ไม่รู้ลมหนาวจากไหนมันมา หนาวโครตๆ กระโดดลงจากเปลกลางดึก มุดเต้นท์เพื่อนในบัดดล หนาวจริงๆครับ ข้อคิดของทริปนี้ทำให้เรารู้ว่าสุราสามารถคล้ายหนาวได้ แต่ถ้ามันหมดฤทธิ์ก็ตัวใครตัวมันเช่นกัน ดังนั้นก่อนนอนเล็งเต้นท์ที่จะมุดให้ดีๆ เดี่ยวจะหาว่าไม่เตือน ทริปนี้ถือเป็นทริปสุดท้ายของกลุ่มรักนกรักป่า เนื่องจากสมาชิกหลายๆคนก็แยกย้ายไปเที่ยวในแบบของตนเองไม่ค่อยวางตรงกัน อีกทั้งตอนนั้นกลุ่มผมเริ่มทำการยึดชมรมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัยได้แล้ว ทำให้กลุ่มรักนกรักป่าได้ยุบตัวลง ฟังดูเศร้าเนาะแต่จริงๆกลุ่มนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อจัดกลุ่มเที่ยวกันมากกว่า เอาชื่อรักนกรักป่ามาอ้าง หาเหตุผลเที่ยวซะมากกว่า ไม่รู้เบื่อกันรึยัง ยังไงก็ขอจบแค่นี้ก่อนเอาไว้ไปต่อภาค 3 นะครับ(เขียนหมดทุกทริปนี้มีเป็น 10 ภาคแน่เลย ทำลายสิถิติป่าผีปอบแน่ อิอิ)
มือใหม่หัดโบกก

รถอีแต้นใจดีจอดรับเรา

ไหนว่ะนก มองไม่เห็นสักตัว

เปลคอนโด 6 ชั้นดีนะนอนชั้นไม่สูงโดดมุดเต้นท์ได้อย่างรวดเร็ว

เหล้ากระเหรี่ยงแก้หนาว

น้ำตกเขาสอยดาวกับภาพสมาชิก

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

CR เรื่องราวประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบัน ภาค 1

         เนื่องจากมีคนชมว่าเขียนเรื่องราวได้สนุกดี ทำให้เกิดแรงบ้ายอ นึกสนุกหยิบKeyboard ขึ้นมาบรรเลงเขียนประสบการณ์ท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่มเที่ยวจนถึงปัจจุบัน ลองอ่านกันดูไม่รู้ว่าจะเขียนได้ดีเท่าครั้งที่แล้วรึป่าว ยังไงก็ลองอ่านกันดูนะครับ
         สมัยเด็กๆก็มีโอกาสได้ท่องเที่ยวกับครอบครัวบ้างไม่มากนัก ประมาณปีละ 1 ครั้ง จนมาเรียนจบชั้นประถมก็มีโอากาสเที่ยวน้อยลง ตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเที่ยวเท่าไร ได้ไปก็ดีไม่ไปก็เฉยๆ อาจเป็นเพราะสมัยเด็กๆติดเพื่อน เลยไม่ค่อยสนใจก็เป็นไปได้ การเริ่มเที่ยวอย่างจริงจังมาเริ่มสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนประมาณปี 2 เพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่ม รักนกรักป่า สจพ. ขึ้นมา เริ่มแรกผมก็ไม่ได้สนใจกลุ่มนี้เท่าไร เพราะจากที่เล่ามาว่า ได้เที่ยวก็ดีไม่เที่ยวก็ได้ แต่เรื่องมาเริ่มตอนที่กลุ่มได้จัดกิจกรรม รักนกรักป่าครั้งที่ 1 ขึ้น (กลุ่มรักนกรักป่า เป็นกลุ่มที่เป็นชมรมเถื่อนไม่ได้งบจากทางมหาวิทยาลัย จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาเพราะความสนุกอยากมีชมรมเป็นของตัวเอง มั่ง) เนื่องจากเป็นกลุ่มเล็กๆในมหาวิทยาลัยไม่มีคนรู้จักทำให้ขาดสมาชิกที่จะไปร่วมทริป เริ่มแรกรวมคนได้ไม่ถึง 10 คน ช่วงนั้นผมแอบมีเซ้งเรื่องการเอ็นทรานอยู่เพราะอยากเรียนคณะวิศวะแต่เอ็นไม่ติดมาติดคณะวิทยาศาสตร์ เอ็นใหม่ก็ยังคงไม่ติดเหมือนเดิม(จำได้ว่าช่วงปี1 แทบไม่ได้เข้าเรียนเลย เพราะมั่นใจว่ายังไงเอ็นใหม่ก็ต้องติดวิศวะ แต่ทำไงได้ ในเมื่อไม่ติดก็เลยต้องเรียนคณะเดิมต่อไป ก็ไม่เสียหายเท่าไรนะ เมื่อกลับมาคิดย้อนหลังถ้าเราเรียนวิศวะอาจจะไม่จบก็ได้ วิทยาศาตร์ก็ดีเหมือนกัน)  เมื่อสมาชิกร่วมทริปรักนกรักป่าครั้งที่ 1 มีคนสนใจน้อย เพื่อนที่ตั้งกลุ่มซึ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัย ปวช ก็มาชักชวนให้ร่วมทริปไปด้วยกัน ตอนนั้นไม่รู้เกี่ยวกับการเดินป่า หรือการนอนในป่าเลย สมาชิกหลายๆคนที่ไปด้วยก็เพิ่งเข้าป่ากันครั้งแรกเหมือนกัน จำได้ว่าตอนนั้นเป้ใส่ของเดินป่ายังไม่มีเลย ต้องไปหยิบยืมเพือนที่รู้จักมา(ตอนหลังทำของมันหาย อยากบอกว่ากูขอโทด) รองเท้าเดินป่าก็ไม่มีต้องไปเอารองเท้ากีฬาเก่าๆของพ่อที่ไม่ใช้แล้วมาใช้ โชคดีที่ทริปแรกของเราได้ผู้นำคณะที่ดี เป็นอาจารย์ที่ภาควิชาของผมเอง แกชอบเที่ยวป่าเคยหลงป่าเขาใหญ่มาแล้ววว ขอเอ่ยนามแกหน่อย แกชื่ออ.เชิด จริงๆเป็นรุ่นพี่ที่จบไปแล้วแล้วกลับมาเป็นอาจาร์ย(แกรุ่น 9 ส่วนผมรุ่น 19 ห่างกัน 10 ปี) อุปกรณ์กองกลางส่วนใหญ่ก็เป็นของแกไม่ว่าจะเป็นหม้อสนาม อุปกรณ์ทำครัว หลังจากที่เห็นแกมีอุปกรณ์เดินป่าผมก็เริ่มเก็บเงินทะยอยซื้อเรียกได้ว่ามีแกเป็นต้นแบบในการเดินป่าก็ว่าได้ ทริปนี้เรามีจุดหมายที่ น้ำตกแม่ปล้อง(ตอนนั้นเกิดมายังไม่เคยได้ยินชื่อเลย สาบานได้) น้ำตกแม่ปล้องอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขญ 13 จุดเริ่มเดินต้องเดินจากน้ำตกวังตระไคร้เข้าไป จำไม่ได้แล้วว่าระยะทางกี่กิโล แต่ระยะทางไม่ไกลมากนักเหมาะกับนักเดินป่ามือใหม่ สามารถไป-กลับในวันเดียวกันได้ แต่เราเลือกที่จะค้างคืน ทริปนี้ผมติดกล้องฟิมล์เก่าๆของพ่อไปด้วย(Pentax K1000) ตอนนั้นยังถ่ายรูปไม่เป็นเลย จำได้ว่าเวลาวัดแสงก็จะหันไปถามเพื่อนที่ถ่ายรูปเป็นว่าต้องตั้งค่าอะไรยังไงบ้าง สมัยนั้นกล้อง Digital เพิ่งออกมาใหม่ๆ ราคากล้อง Compact Digital แพงมาก อ.เชิดแกเป็นคนชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว แกจะมีกล้อง Compact Digital ที่เรียกว่าสมัยนั้นทันสมัยสุดๆ ความละเอียด 3 ล้าน pixel พร้อมกล้องฟิมล์อีก 1ตัวติดตัวไปด้วย จากการไปสัมผัสการเดินป่าและเห็นภาพถ่ายจากล้องสุดทันสมัยของอ.เชิด ทำให้ผมเกิดความสนใจในการท่องเที่ยวและถ่ายภาพขึ้นมา ทำให้ต้องเก็บสะสมเงิน(ขอเงินแม่) ซื้อกล้อง Digital ตัวแรก เป็น Casio QX2900 ความละเอียด 2 ล้าน pixel มาไว้คู่กาย หลังจากกลับมาจากทริปแรกก็เฝ้ารอทริปต่อไปของกลุ่มรักนกรักป่า สมัยนั้นการเที่ยวป่าถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม ทำให้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเกี่ยวกับสถานทีเที่ยวในไทยเลย(ต่างประเทศยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย) ภูกระดึง,ภูสอยดาว คืออะไรไม่รู้จักมันอยู่ในประเทศไทยได้เหรอ ทำให้การคิดจะเที่ยวด้วยตัวเองในตอนนั้นไม่มีอยู่ในสมองเลย ทริปรักนกรักป่าจะจัดปีล่ะ 1 ครั้ง ทำให้การเดินป่าครั้งที่สองของผมต้องรอถึงปีหน้า
คนหลังสุดผมเอง นี้แหละคือภาพเป้ภาพสุดท้ายก่อนมันจะหายไป

กิจกรรมรอบกองไฟตามประสาคนเดินป่า

ภาพน้ำตกแม่ปล้องชั้นล่าง

น้ำตกแม่ปล้องชั้นบน(ภาพทั้งหมดเป็นภาพจากล้อง อ.เชิดนะครับ)
ภาพหมู่ก่อนกลับถ่ายกับป้ายวังตระไคร้

          ทริปรักนกรักป่าครั้งที่ 2 จัดไปที่เขาใหญ่เหมือนเดิมแต่เปลี่ยนจากนครนายกเป็นปราจีนบุรี(เขาใหญ่ครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด ทั้งสระบุรี นครนายก นครราชสีมา ปราจีนบุรี) ทริปนี้เราไปกันที่น้ำตกเหวอีอ่ำ ก็เช่นเคยไม้รู้จักน้ำตกนี้อีกเช่นเคย ทริปนี้ผมมีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อย โดยมีเป้เป็นของตนเองแล้ว(เพราะทำของเพื่อนหายเลยซื้อมาเป็นของตัวเองดีกว่า ยืมเดี่ยวหายอีก) เป้ที่ใช้เป็นเป้ที่ซื้จาก JJ ราคาไม่กี่ร้อยบาท รองเท้าปรับเปลี่ยนจากรองเท้าผ้าใบมาเป็นรองเท้าแตะ(อันนี้พัฒนาลง) และที่สุดยอดก็คือกล้อง Digital สุด Hitech ความละเอียด 2 ล้าน pixel เท่ห์สุดๆเลยใช่ไหม เนื่องจากระยะเวลาระหว่างทริปแรกกับทริปที่ 2 ห่างกันพอสมควร ทำให้ร่างกายห่างหายจากความฟิตไปมาก ทางเข้าน้ำตกเหวอีอ่ำเป็นทางชันในช่วงแรกก่อนจะตัดเป็นทางราบก่อนขึ้นตัวน้ำตก ตอนนั้นบอกได้เลยว่าทำไมมันโหดแบบนี้ เดิน 10 ก้าวพักครึ่งชั่วโมง มันจะคุ้มกับน้ำตกไหม ถ้าเป็นปัจจุบันนี้อยากจะด่าตัวเองในอดีตว่า อ่อนมากไอ้น้องเอ่ย ยังไม่ได้คีบของภูกระดึงเลย 20เหวอีอ่ำ = 1 ภูกระดึง จริงๆมันเดินไม่ยากแต่เราห่างหายจากการออกกำลังกายไปนานทำให้รู้สึกว่ามันลำบากมากๆๆๆ(ตอนนั้นนึกที่นี้คงโหดสุดๆแล้วมั่ง) น้ำตกเหวอีอ่ำเป็นนี้ตกใหญ่ที่หลายๆคนอาจไม่ค่อยได้ยินชื่อเท่าไร แต่ใครที่เคยเดินเขาสมอปูนต้องรู้จักน้ำตกนี้เป็นอย่างดีแน่นอน ที่น้ำตกเหวอีอ่ำมีเรื่องตื่นเต้นให้สยองขวัญ อันนี้ไม่เจอกับตัวเองแต่สมาชิกที่ไปเจอกันหลายคน คือเวลาเราเดินขึ้นน้ำตกเราจะไปโผล่ด้านบนยอดน้ำตก ซึ่งมันได้วิวไม่สวยไม่ได้บรรยากาศ ทำให้เราแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มของผมนอนที่บนยอดน้ำตกเพราะขี้เกียจลงไปข้างล่าง ส่วนอีกกลุ่มลงไปผูกเปล กางเต้นท์ที่ตีนน้ำตกด่านล่างเพราะอยากจะฟินกับบรรยากาศ ธรรมชาติอันสดชื่น เรื่องนี้เกิดกับกลุ่มที่ลงไปนอนตีนน้ำตกนะครับ หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ กลุ่มที่นอนตีนน้ำตกก็แยกย้ายปีนลงไปบริเวณที่ผูกเปล พร้อมด้วยสุราหนึ่งไห(แค่1แบนเท่านั้นแหละ) นั่งริมน้ำตกเคล้าสุรา ช่างฟินเสียยิ่งกระไร แต่เหมือนสุราจะไม่เป็นใจเกิดหลุดมือหล่นลงไปแตกคาตาเลย เซ้งเป็ดเลย ตามปกติเวลาเข้าป่า จะกินอาหารหรือดื่มสุราจะมีเซ่นไหว้เจ้าที่ก่อน โดยจะเซ่นกับต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น แต่สุราเกิดหล่นแตกซะก่อนทำให้ไม่ได้เซ่น ทำให้ตกดึกสมาชิกที่นอนตีนน้ำตกหลายคนต้องเจอกับเรื่งอันชวนขนลุก ณ.บริเวณรอบๆกองไฟที่ก่อไว้ หลังจากที่ทุกคนเข้านอนมีคนเห็นเด็กมาเดินรอบกองไฟ มาเขย่าเปล เกาะแขนคนที่นอนในเต้นท์ ขนาดพิมพ์อยู่ยังขนลุกเลย ตอนเช้าทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องนี้ถูกเอามาเล่ากันในทริปรักนกรักป่าครั้งที่ 3  เรื่องนี้ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่นะครับ แต่สำหรับผมถ้าไม่ลืมเวลาเข้าป่าก่อนกินอาหาร(มื้อเย็น) จะมีการเซ่นไหว้ก่อนทุกครั้ง(สุราเซ่นทุกขวดที่เปิด) เนื่องจากเรื่องราวมันยาวขอต่ดภาค 2 แล้วกันนะครับ
เดิน 10 ก้าวพักครึ่งชั่วโมง บ้างคนต้องพกยาดมช่วย

น้ำตกเหวอีอ่ำถ่ายจากล้อง Digital สุด Hitech 2 ล้าน pixel

กลุ่มสมาชิกที่นอนบนยอดน้ำตก ไม่เจออะไรเลย

อาหารง่ายๆ สไตล์คนเดินป่า

ทริปนี้นอนคอนโด สบายเลย

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

CR ดอยหลวงเชียงดาว ในวันที่ฟ้าไม่ค่อยเป็นใจ With TKT

ทริปนี้ขอรีวิวการขึ้นดอยหลวงเชียงดาว กับ TKT

         ได้มีโอกาสขึ้นดอยหลวงเชียงดาวเป็นครั้งแรก โดยใช้บริการทัวร์ของ TKT ผมไปคนเดียวไปแจม กับสมาชิกคนอื่น รวมทั้งสิ้นสมาชิกที่ไปดอยหลวงครั้งนี้มีทั้งหมด 20 คน รวม Staff ของ TKT โดยปกติเวลาเดินป่าหรือไปเที่ยวจะนิยมไปกันเองโดยรวมรวบเพื่อนๆ ให้ครบ 10 คน แล้วจ้างรถตู้ไปกันเอง  แต่ทริปนี้เพื่อนๆ เคยไปดอยหลวงเชียงดาวกันหมดแล้ว ทำให้ผมต้องใช้บริการของทัวร์ อย่างที่รู้ๆหลายๆคนบอกว่าดอยหลวงเชียงดาวโหดมากติดอันดับ Buffalo degree

           ทำให้ควรเลือกทัวร์ที่จะทำให้เราสามารถเที่ยวได้อย่างสบายและสนุกที่สุด หลังจากที่ดูทัวร์ของหลายๆบริษัท ก็มาถูกใจที่ของ TKT เนื่องจากจากรีวิว+ภาพประกอบของหลายๆคนที่เคยไปกับ TKT บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอาหารการกินและการเป็นกันเองของ Staff ดีมากแม้จะแพงกว่าของที่อื่นเล็กน้อย ทริปนี้เลยเลือกใช้บริการของ TKT (เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการของ TKT ด้วย) ก่อนวันเดินทาง Staff ของ TKT โทรมานัดแนะจุดขึ้นรถ และอุปกรณ์ที่ควรเตรียมไป (ไม่รู้ที่อื่นมีรึป่าวแต่ที่เคยไปมาส่วนมากนัดแค่เวลาขึ้นรถ อุปกรณ์ที่เตรียมไปจะเขียนไว้ในเว็บไซต์ตอนโทรมานัดไม่เห็นเคยบอกอุปกรณ์ที่ควรเตรียมไปสักเจ้า) พอถึงวันเดินทางผมทำจัดเก็บกระเป๋า พร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพ+อุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม รวมๆกระเป๋าหนัก 10 กิโลได้ (ถือว่ากำลังดีไม่หนักเกินไป ถ้าไปกันเองหนักกว่านี้่แน่นอน เพราะต้องแบกของกองกลางด้วย) พอไปถึงจุดนัดพบที่สำนักงาน TKT Staff ถามชื่อทริปที่จะไป(วันนั้นTKT จัดอยู่หลายทริป) ก็แจ้งไปว่า "ดอยหลวงเชียงดาวครับ" Staff ก็บอกว่ารถมาแล้วเอาของขึ้นรถได้เลย เนื่องจากอาหารการกินของ TKT ดีมาก รถตู้จึงต้องขนของกองกลางไปจำนวนมากทำให้ที่เก็บของหลังรถคันที่ผมไปเต็ม แต่โชคดีเรามาก่อนคนอื่นรถตู้เลยบอกให้ผมเอาของไปฝากไว้กับรถตู้อีกคัน สบายเลยไม่งั้นต้องนั่งรถตู้พร้อมมีของหนัก 10 กิโลอยู่บนตักแย่เลย พอขึ้นมาบนรถประทับใจแรก คือทาง TKT จะเตรียมถุงนอนให้สมาชิกเอาไว้กันหนาวระหว่างที่นั่งรถ โดยก่อนรถออก Staff จะแจ้งว่าให้เอาเสื้อกันหนาวออกมาเลยเพราะรถจะไม่จอดแวะเอาของหลังรถอีกแล้ว โชคดีมีสมาชิกอีกคนเจอกันที่เชียงใหม่ทำให้มีที่ว่าง 1 ทีเอาไว้สำหรับวางกระเป๋าของสมาชิกที่เหลือ ที่นั่งบนรถตู้กว้างดีแต่แอร์หนาวมากแล้วดันปรับอุณหภูมิไม่ได้อีก หลับๆตื่นๆมาตลอดทางจนถึงเชียงใหม่ รถตู้มาจอดที่ รีสอร์ทเชียงดาววิว เพื่อแวะให้สมาชิกทำธุระส่วนตัวพร้อมรับประทานอาหารเช้า พร้อมจัดกระเป๋าแยกสัมภาระที่จะเอาเก็บไว้ในรถไม่เอาขึ้นดอย
ที่เชียงดาววิวมองเห็นไกลๆไม่แน่ใจว่าใช่ดอยหลวงเชียงดาวรึป่าว

         หลังจากที่รับประทานอาหารจัดเก็บกระเป๋ากันเสร็จรถก็ออกเดินทางไปยังที่ทำการของเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าหน่วย........(จำชื่อไม่ได้) เชียงดาว เพื่อติดต่อลูกหาบและย้ายรถมานั่งรถกระบะไปยังจุดเดินเท้า เรานั่งรถกันประมาณ 2 ชั่วโมงมาที่จุดเดินเท้าเด่นหญ้าขัด นี้เป็นประทับใจที่ 2 เนื่องจากปกติดอยหลวงเชียงดาวจะสามารถขึ้นได้ 2 ทางคือทางปางวัวกับเด่นหญ้าขัด(ทางขึ้นที่ถ้ำเชียงดาวปิดไปแล้ว) ซึ่งคนส่วนใหญ่จะขึ้นทางปางวัวเนื่องจากเป็นถนนคอกรีตจนถึงจุดเดินเท้า แต่ปางวัวเป็นทางลูกรัง(ใช้ทางเดี่ยวกับทางขึ้นดอยแม่ตะมาน) สาเหตุที่ประทับใจเนื่องจากทางเด่นหญ้าขัดแม้ระยะทางเดินเท้าจะไกลกว่าปางวัวแต่ทางเดินจะชันน้อยกว่ามาก สามารถทำเวลาการเดินได้ดีกว่าขึ้นทางปางวัวมาก เพราะผมใช้เวลาจากเด่นหญ้าขัดถึงอ่าวสลุงจุดกางเต้นท์แค่ 3 ชั่วโมงกว่าๆเอง ถ้าขึ้นทางปางวัว มีอย่างน้อยๆ4ชั่วโมงแน่นอน
หน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก(เด่นหญ้าขัด) จุดเริ่มเดิน

ชักภาพหมู่กับป้ายก่อนออกเดินทางระยะทาง 8.5 กม


         สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยเดินป่าแล้วอยากมาดอยหลวงเชียงดาวแนะนำว่าออกกำลังกายสัก1-2อาทิตย์ก่อนมาจะช่วยให้ไม่เหนื่อยจนเกินไป และจะทำให้เที่ยวสนุกยิ่งขึ้น หลังจากที่มาถึงจุดกางเต้นท์ Staff ของ TKT(พี่แมว) มาถึงก่อนพวกเราแม้จะออกเดินหลังสุดก็ตาม จัดแจงกางเต้นท์ให้สมาชิก พร้อมจัดแจงเตรียมทำอาหารเย็น พอผมมาถึงได้ไม่นานสมาชิกคนอื่นๆก็ตามมาถึง
ทางเดินเป็นทางราบสลับทางชัด

ฟอสซิลหอยระหว่างทาง ไม่สังเกตุมีเดินเหยียบแน่

          จัดแจงเอาของแยกเก็บเข้าเต้นท์ของตัวเอง ผมเอาเต้นท์มาเองเป็นเต้นท์นอนคนเดียวเพิ่งซื้อมาใหม่ เอามาประเดิมที่เชียงดาวครั้งแรก ถือว่าสอบผ่านแต่อาจจะเล็กไปหน่อย สมาชิกคนอื่นหลังจากมาถึงก็ขอพักเอาแรงในเต้นท์ของตัวเอง ขอเก็บแรงเอาไว้เดินเทียววันพรุ่งนี้ ส่วนผมกับสมาชิกอีก2คนแรงยังเหลือ ขอตัวขึ้นยอดดอยไปชมพระอาทิตย์ตก ระยะทางจากที่พักถึงยอดดอยประมาณ 300 เมตร แต่เป็นทางขึ้นอย่างเดียวใช้เวลาในการเดินประมาณ 30 นาที ใครที่จะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกควรติดเสื้อกันหนาว ไฟฉายและน้ำดื่มไปด้วย วันที่ขึ้นมาฟ้ายังเป็นใจให้เราอยู่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกสมใจ ได้รูปสวยๆมาเพียบเลย

แสงเทพ มีบางคนเรียกว่า GOD LIGHT

ไหนๆมาแล้วขอสักภาพเดียวหาว่ามาไม่ถึง
คนมารอชมพระอาทิตย์ตกกันเพียบเลย
ภาษาวัยรุ่นเค้าว่างามฝุดๆ

         หลังจากชมพระอาทิตย์ตกก็ทะยอยลงมาจากยอดดอย เมื่อมาถึงจุดกางเต้นท์ Staff TKT และสมาชิกบางส่วนก็กำลังยุ่งกับการทำครัวสำหรับมื้อเย็น อาหารมื้อเย็นของคืนนี้ประกอบไปด้วยไข่เจียว ผัดผัก ต้มยำไก่ แล้วอะไรอีกอย่างนี้แหละครับจำไม่ได้ ตบท้ายด้วยของหวานเป็นเต้าฮ้วยนมสดฟุตสลัด อิ่มอร่อยสมชื่อ TKT ประทับใจที่ 3 ก็ตามมา Staff ของ TKT จะยังไม่ทานอาหารพร้อมกับสมาชิก จะรอให้สมาชิกทานจนอิ่มแล้วจึงจะเริ่มทาน ซึ่งจริงๆจะทานพร้อมกันก็ได้แต่ Staff จะรอให้สมาชิกเติมข้าวและกินจนอิ่มจึงจะเริ่มทาน หลังจากอาหารเย็น ทาง TKT จะมีกิจกรรมแนะนำตัวเองของสมาชิกที่มารวมทริป เพื่อให้รู้จักกันมาขึ้น(ขอสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่าผมจำชื่อทุกคนไม่ได้ ต้องขอโทษด้วย) หลังจากพระอาทิตย์ตกฟ้าก็เริ่มไม่เป็นใจหมอกเริ่มลงจนไม่เห็นทะเลดาวตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้ทุกคนลงความเห็นเดียวกันคือแยกย้ายกันเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตี4 เพื่อขึ่นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วลม อากาศคืนนี้กำลังดีไม่หนาวจนเกินไปอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 9 องศา พอถึงเวลานัดหมายตี 4 ต่างคนต่างลุกออกจากเต้นท์มาเตรียมตัว แต่พอโผล่ออกมาจากเต้นท์กับต้องผิดหวังเล็กๆ หมอกลงหนามาก ทางพี่แมวบอกว่าถ้าหมอกลงแบบนี้ไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นหรอก แต่ใครจะขึ้นก็ได้นะ สมาชิกส่วนใหญ่ตกลงที่จะขึ้นกิ่วลม  เพราะไหนๆมาแล้วก็ขอขึ้นไปสักครั้ง พี่แมวรออยู่บริเวณด้านล่างเพื่อทำอาหารเช้า ปล่อยให้ Staff สาวของ TKT (หวาน) พร้อมลูกหาบเป็นคนนำขึ้นกิ่วลมใต้ ระยะทางจากจุดกางเต้นท์ถึงกิ่วลมใต้ประมาณ 600 เมตร ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง มีทางลาบสลับกับทางชันเดินง่ายกว่าทางขึ้นยอดดอย แล้วก็เป็นไปตามที่พี่แมวบอกไว้จริงๆ คือมองอะไรไม่เห็นเลย หมอกลงหนามาก รอจนถึง 7 โมงก็ยังไม่มีวี่แววพระอาทิตย์จะขึ้น จึงตัดสิ้นใจเดินลงพร้อมความผิดหวัง
หมอกลงมองอะไรไม่เห็นเลย

          ระหว่างที่รออาหารเช้า ก็มีของว่างเป็นกาแฟ-โอวันติน พร้อมขนมปังปิงอุ่นๆ เรียกได้ว่ากินแทนอาหารเช้าๆได้เลย สำหรับอาหารเช้าในวันนี้เป็นข้าวต้มหมูใส่เห็ดหอมกับมักกะโรนี เลือกกินได้หรือจะกินทั่งสองอย่างก็ได้ 10โมงกว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าหมอกจะจางลง ทำให้สมาชิกหลายคนกลับเข้านอนในเต้นท์ ส่วนผมเนื่องจากเต้นท์มันเล็กไปหน่อยเลยขนถุงนอนออกมานอนข้างนอกกับ Staff ระหว่างที่นอนก็มอง ท้องฟ้าไปว่าเมื่อไรฟ้าจะเปิดสักที เพราะตามโปรแกรมถ้าฟ้าเปิด Staff จะพาไปชมทุ่งดอกไม้บริเวณกิ่วลมใต้(พี่แมวให้ชื่อทุ่งดอกไม้ว่า ทุ่งดอกไม้ของเทพเจ้า) ประมาณ 11 โมงระหว่างที่นอนก็เหลือบไปเห็นว่าบริเวณยอดดอยฟ้าเริ่มเปิด จึงตัดสิ้นใจหยิบกล้องพร้อมขาตั้งกล้อง+น้ำ 1 ขวด ลุยเดียวขึ้นยอดดอยอีกครั้งหลังจากที่ไปชมพระอาทิตย์ตกเมื่อวาน บนยอดดอยฟ้าเปิดสลับกับปิดเป็นระยะต้องรอจังหวะดีๆ ข้างบนยอดช่วงเทียงมีคนขึ้นมาไม่กี่คน ถ่ายภาพสบายเลย ถ้าฟ้าเปิดจะแจ่มมาก ประมาณเที่ยงสมาชิกบางส่วนก็ตัดสิ้นใจขึ้นยอดดอยตามมาเหมือนกัน

หมอกยังคงลงอยู่ แต่ก็พอเก็บภาพได้บาง

ยอดดอยเป็นของเราาาาาา

           หลังจากเก็บภาพจนจุใจก็ตัดสินใจลง ไปรับประทานอาหารกลางวัน ประทับใจที่....(จำไม่ได้และขี้เกียจย้อนกลับไปอ่าน) มื้อกลางวันเป็นข้าวขาหมู นี้แหละขาหมูเชียงดาวของจริง ที่ขายกันข้างล่างของปลอมทั่งนั้น ของจริงมันต้องกินบนเชียงดาว ซัดไป2จานอิ่มอร่อย
ขาหมูเชียงดาวของแท้

         หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ ผมกับสมาชิกอีก 2 คนตัดสินใจขึ้นกิ่วลมอีกครั้งเพราะหวังในใจลึกๆว่า ฟ้าจะเป็นใจเปิดให้เรา  Staff สาวนำทีมพาขึ้นกิ่วลมนำโดย Staff หวานและส้ม เราขึ้นไปกิ่วลมใต้กันก่อน เพราะอยากจะไปดูทุ่งดอกไม้ของเทพเจ้าตามที่พี่แมวบอกไว้ แต่เป็นที่น่าเสียด้ายเนื่องจากเป็นช่วงที่ดอกไม้ส่วนใหญ่ร่วงไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังมีดอกไม้อีกหลายชนิดให้เราได้ชม จากจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น เดินไปอีกประมาณ 500 เมตรจะมีดอกไม้หลากหลายชนิดขึ้นสลับกัน ใครเป็นคอมาโครไม่ควรพลาด เหมือนฟ้าจะเป็นใจเล็กๆ แอบมีเปิดเป็นระยะๆให้พอได้ลุ้นเก็บภาพประทับใจ  ประมาณ 4โมงเราลงกิ่วลมใต้เพื่อไปกิ่วลมเหนือกันต่อ น้องimm(ชื่อพูดยากสะกดไม่ถูกขอเป็นภาษาอังกฤษแล้วกัน) สมาชิกที่ไปด้วยขอแยกตัวลงก่อนเพราะจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอยเพราะเมื่อวานน้องเขาไม่ได้ขึ้น Staffส้มเป็นคนนำน้องลงไป
Staff 2 สาวแห่ง TKT



โฉมหน้าสมาชิกที่ขึ้นกิ่วลมใต้


บรรดาดอกไม้ที่กิ่วลมใต้

         ส่วนที่เหลืออีก 3 คนตัดสินใจไปกิ่วลมเหนือกันต่อ ที่กิ่วลมเหนือทางขึ้นยากกว่ากิ่วลมใต้เพราะมันต้องปีนหินขึ้นไป ไม่ค่อยมีคนนิยมไปกันเพราะดูจากสองข้างทางที่ไปไม่มีร่องรอยคนเดินขึ้นมาเท่าไร ระหว่างทางที่เดินขึ้นกิ่วลมเหนือเราตัดสินใจไม่ลงทางเดิม ยอมเปิดทางใหม่ลงไปยังแคมป์เพราะที่กิ่วลมเหนือเรามองเห็นแคมป์อยู่ไกลๆ อีกอย่างหวานเคยลงจากกิ่วลมเหนือไปแคมป์โดยเปิดทางใหม่มาแล้ว และสมาชิกที่ไปด้วยเคยเดินป่ากันมาแบบชำชองแล้ว ทำให้ลงความคิดเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าจะเปิดทางลงใหม่(มือใหม่ไม่แน่นำนะครับ) ทางลงใหม่ที่เราเปิดเป็นดินร่วน เล่นเอาเสียวไปหลายรอบเหมือนกัน โดนหนามกุหลาบกันไปคนละหลายแผล พอลงใกล้ถึงแคมป์มีเสียงตะโกนมาจากไกลๆว่า ยึดทางซ้ายไว้ มองแนวต้นสนไว้ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงใครเสียงพี่แมวนั้นเอง ค่อยกำกับเส้นทางเพราะเราอยู่ด้านบนมองไม่เส้นทาง ตอนเดินลงเรายึดแคมป์เป็นหลัก ระหว่างทางลงก็ได้ภาพสวยๆของแคมป์มาเหมือนกันถือว่าคุ้มค่า
ทางขึ้นกิ่วลมเหนือ ต้องปีนหินขึ้นไป

จากทางลงกิ่วลมเหนือมาเห็นแคมป์อยู่ไกลๆ

          พอลงมาถึงแคมป์ สมาชิกส่วนใหญ่ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก ผมขอตัวไม่ขึ้นเพราะขึ้นมา 2 ครั้งแล้วเมื่อวานนี้กับเมื่อกลางวัน(ตอนเย็นฟ้าเปิดให้สมาชิกที่เหลือได้ชมพระอาทิตย์ตก) หลังจากสมาชิกลงมาจากยอดดอยจนครบ ก็มารวมตัวรับประทานอาหารเย็น มื้อเย็นวันนี้เป็นยำหัวปลี กระดูกหมูต้มสมุนไพร กระหล่ำปลีผัดน้ำปลา หมูผัดพริกไทอ่อน หมูย่าง หมูมะนาวและสลัดทูน่า อาหารเย็นมื้อนี้ฟินสุดๆ อร่อยทุกอย่างแต่เผ็ดไปหน่อย สงสัยพริกจะเหลือเยอะ ตบท้ายด้วยของหวานเป็นกล้วยบวชชี ตอนหัวค่ำหมอกเริ่มลงมาอีกครั้งทำให้ติดสิ้นใจว่ายังไงก็คงไม่เห็นดาว เลยตัดสิ้นใจเข้านอนวันนี้ใช้แรงงานไปเยอะขอพักผ่อนเอาแรง วันนี้ค่อนข้างหนาวกว่าเมื่อวาน อุณหูภูมิประมาณ 5 องศา หลับๆตื่นๆตลอดคืน ประมาณตี 4 ได้ยินเสียงสมาชิกเต้นท์ข้างๆคุยกันว่าฟ้าเปิดแล้วออกมาดูดาวกันไหม ตอนแรกในใจคิดหนาวว่ะจะออกดีไหม ลองเปิดเต้นท์ชะโงกหน้าออกมาดูก่อน ฟ้าเปิดจริงๆเห็นดาวเต็มท้องฟ้า เลยตัดสินใจหยิบกล้อง ลุกออกจากเต้นท์มาเก็บภาพดาว ก่อนมา หาข้อมูลวิธีถ่ายดาวมาเยอะ แต่พอของจริงไม่ได้ใช้เลยลืมหมด สงสัยเพราะอากาศหนาว เก็บภาพมาได้พอสมควรแต่ยังคงต้องฝึกอีกเยอะยังไม่ได้ภาพที่ถูกใจเท่าไร ลุกตั้งแต่ตี4 จากนั้นก็ไม่ได้นอนอีกเลย เก็บภาพดาวจนถึงเช้าเลย มีคนขึ้นบนยอดดอยตอนตี5 ด้วย แต่ผมตัดสินใจไม่ขึ้น ยังแอบเสียด้ายอยู่เลยน่าจะขึ้น ถ้าขึ้นไปนี้อาจจะได้ภาพทางช้างเผือกสวยกว่านี้
ทางช้างเผือก ถ่ายตอนตี4 ได้แค่หางช้าง

Star tail ถ่ายมา 50 short แล้วมาเข้าโปรแกรม

ภาพทะเลดาวก่อนนำมาทำ Star tail

          เมื่อสมาชิกตื่นกันก็ทะยอยเก็บของระหว่างที่รออาหารเช้า ขอสารภาพว่าจำมื้อเช้าไม่ได้ว่าเป็นอะไร สงสัยเพราะอากาศหนาวบวกกับไม่ได้เข้าห้องน้ำมาหลายวัน กินมื้อเช้าไปนิดเดียวเองกลัวมันจะออก หลังจากมื้อเช้าเก็บของกันเสร็จก็ทะยอยเดินลง ขาลงเราลงทางปางวัวคนละทางกับขาขึ้น ทางลงปางวัวชันพอสมควรแถมลื่นอีกต่างหาก ทำเวลาขาลงไปประมาณ 2 ชั่วโมง จับกบไป3ตัว สิ่งแรกที่คิดถึงหลังจากลงมาคือห้องน้ำ เราลงกันมาทำเวลาได้ดีทิ้งระยะกันไม่มาก หลังจากลงมาถึงปางวัวนั่งรถกระบะไปอีกประมาณ 30 นาที ไปที่ค่ายเยาวชนเพื่ออาบน้ำ หลังจากที่ไม่ได้อาบมาหลายวัน แต่สิ่งแรกที่จะทำคือ _ี้ น้ำเย็นมากเหมือนเอาน้ำในตู้เย็นมาให้อาบ มื้อกลางวันเป็นขาหมูเชียงดาวร้านดัง แต่ขอบอกยังไงไม่ใช่ของจริง ของจริงมันต้องกินบนดอยยยยย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวสวยหล่อกันแล้ว ก็ขอชักภาพหมูเก็บไว้ก่อนออกเดินทางกลับ ขากลับแวะรับประทานอาหารที่ครัวเกษตรที่จ.ตาก อาหารอร่อยบรรยากาศดี ถึงกรุงเทพประมาณตี3 ทริปนี้ประทับใจTKT หลายอย่างทั้ง Staff ที่เป็นกันเอง อาหารอร่อย แม้อากาศจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรก็ตาม ขอบอกไว้ตรงนี้เลย เชียงดาวววววเดียวเจอกันนนนนนฉันจะไปซ่อมมมมมม
ภาพหมูก่อนกลับ (ด้านหลังไม่ใช่เชียงดาวนะ)

ระหว่างทางแอบเก็บ Track การเดินไว้